วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2558

ทำไมเยอรมันจึงแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง



ประเด็นนี้มีการถกเถียงกันมายาวนาน

วันนี้มีคำตอบจากมุมมองของผม เรืออู มาให้ทุกคนได้อ่านกันครับ

สงครามโลกครั้งที่สองนั้นถ้าใครดูแผนที่ก็จะทึ่งว่าประเทศไม่ใหญ่มากอย่างเยอรมันทำไมถึงครอบครองทวีปยุโรปได้เกือบทั้งหมด

ด้านกองทัพ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่า กองทัพเยอรมันนั้นมีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าฝ่ายตรงข้ามไปเยอะมาก ด้านทางบก ไม่ว่าจะเป็นอาวุธประจำกาย หรือ รถถังรุ่นต่างๆ ที่ยิงไกลแม่นอึด อีกต่างหาก
ด้านทัพอากาศ มีเครื่องบินรบที่ทรงประสิทธิภาพมากมาย แถมยังมีเครื่องบินเจ็ทก่อนใครเพื่อนอีกด้วย
ด้านทัพเรือ ถึงไม่ได้ล้ำหน้ากว่าฝ่ายตรงข้าม แต่ก็มีการเลือกใช้ เรือดำน้ำ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

การที่เยอรมันเปิดสงครามนั้นและขยายการสู้รบไปทั่วยุโรปเพราะผู้นำ ผู้กำลังหลงไหลในอำนาจที่หอมหวลเย้ายวนใจ  ตามเดิม ฮิตเลอร์เพียง จะยึดแผ่นดินเยอรมันเดิมคืนเท่านั้น ที่เคยเสียไปในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แต่ว่า เมื่อมีชัยอย่างง่ายดาย จึงเสพติดชัยชนะ และมีความคิดที่จะครอบครองทั้งหมด

การที่เยอรมันมีผู้นำสูงสุดเป็นเรื่องที่ดีเพราะเด็ดขาด ในการสั่งการ

แต่นี่แหละคือส่วนสำคัญทำให้เยอรมันแพ้สงครามเหมือนกัน

เพราะผู้นำของพวกเขา ไม่ได้มีความรู้ด้านการวางแผนในการรบ มีเพียงประสบการณ์ในรบซึ่งเป็นพลส่งสาร ตำแหน่งจ่า ในสงครามโลกครั้งที่  จึงมีหลายอย่างที่เค้าตัดสินใจเอง ทั้งที่เหล่าจอมพลนายพล ผูเก่งกาจของเยอรมัน ได้วางแผนไว้แล้วแต่เสนอไม่ผ่าน  และก็ต้องยอมทำตาม ด้วยวรีเด็ด คือ ท่านผู้นำ นำเราไปสู่ชัยชนะเสมอ   คล้ายคำพูดของไทย ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ยังไงอย่างงั้นเลยทีเดียว  ฮิตเลอร์แทรกแทรง ในการวางแผน

ด้านทัพบก แม้เทคโนโลยีเยอรมัน จะทันสมัยและดีมากเพียงใด  แต่ก็ไม่เพียงพอ และปัญหา ถ้าเสียล่ะก็ซ่อมกันลำบากเลย เพราะมันซับซ้อนมาก   แถมท่านผู้นำยังแทรกแทรง ไม่ให้ทหารใช้ปืน MP43  ที่ทั้งยิงเร็วและแม่น  เพียงเพราะท่านผู้นำชอบของเก่ามากกว่ามาคิดได้ช่วงท้ายก็สายไปเสียแล้ว

ด้านทัพอากาศ  ถึงจะมีเครื่องบินเหนือชั้น นักบินที่เก่งเพียงใด สามารถยิงฝ่ายตรงข้ามไปได้เป็น ร้อย ลำ ก็หลายคน แต่ก็มีไม่เพียงพอ ทดแทนคนที่ตายไป ด้วยเพราะทรัพยากรน้อยกว่า ฝ่ายตรงข้ามมากนัก แล้วเครื่องเจ็ท ที่ผลิตออกมาได้ช่วงท้ายสงคราม แล้วยิงเครื่องบินฝ่ายตรงข้ามร่วงเป็นใบไม้  นั้น โดนฮิตเลอร์แทรกแทรง เพราะอยากให้เครื่องเจ็ทเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดมากกว่า  พอมาคิดเปลี่ยนก็สายไปเสียแล้วไม่ได้ช่วยให้โฉมหน้าของสงครามเปลี่ยนไปแต่อย่างใด

ด้านทัพเรือ ซึ่งแน่นอน อังกฤษยังเป็นเจ้าทะเลในช่วงนั้น แต่นายพลเยอรมัน มีฝีมือจริงๆ ที่เน้นใช้ เรือ อู เข้าไปต่อกรกับอังกฤษจนได้เปรียบช่วงแลก   และขอสร้างเรือ อู อีก 300 ลำ เพื่อจัดการอังกฤษให้สิ้นซาก  แต่ท่านผู้นำไม่อนุมัติและแทรกแทรง ให้เอาเงินที่จะสร้างเรือ อู 300 ลำ ไปสร้าง เรือประจัญบาน บิสมาร์ค ที่ยิ่งใหญ่ของเยอรมัน ถึงจะดีจริง แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะ ถึงจะยิงเรือฝ่ายตรงข้ามไปได้ 1 ถึง 2 ลำ แต่ก็โดนจมอยู่ดี สู้ไปสร้างเรือ อู ตั้งแต่แรกก็ปิดช่องทางการส่งสินค้าได้แล้ว ก่อนที่อังกฤษจะคิดค้น โซน่าได้

ด้านการวางแผน ฮิตเลอร์ ไม่เคยฟังคำทัดทานจากเหล่านายพลของตัวเองเลย จนต้องพ่ายแพ้ในที่สุด ส่งกำลังไปจุดที่ไม่มีความสำคัญ เปลี่ยนใจไปมา  และไม่ประมาณกำลังตัวเอง เปิดแนวรบ ทั่วไปหมด โดยเฉพาะโซเวียด  ถึงแม้รู้ว่าโซเวียดก็เตรียมรับมือ แต่ควรจัดการอังกฤษให้ได้เสียก่อน  และด้วยความใจดีหรือว่าอยากตอบแทนบุญคุณชาวอังกฤษที่ไม่ยิงเขาในสงครามโลกครั้งที่ 1  ฮิตเลอร์ ไม่ส่งกองกำลังเข้าบดขยี้ให้สินซาก ขณะได้เปรียบที่ ดันเคิร์ก ปล่อยให้ทหาร อังกฤษ ฝรั่งเศส หนีข้ามทะเลไปสะอย่างงั้น

ตามมุมมองของผม เรืออู เยอรมัน ชนะ ด้วยผู้นำในตอนแรก  แล้วก็แพ้สงครามโลกครั้งที่สองเพราะ ผู้นำของพวกเขาเช่นกัน

ทำไมกองทัพต้องพัฒนาและพร้อมรบตลอดเวลาทั้งยามสงบ


ทำไมกองทัพต้องพัฒนาและพร้อมรบตลอดเวลาทั้งยามสงบ คำถามนี้ ก็เป็นหนึ่งในประเด็นที่ถกเถียงกันมาไม่รู้จักจบสิ้น

วันนี้ผมมีคำตอบในมุมมองของผม เรืออู มาให้ทุกคนได้อ่านกัน 

ก่อนอื่นเรามารู้จักกับคำว่าสงครามกันก่อน สงครามคืออะไร

สงครามก็คือ  สถานะการณ์ความขัดแย้งที่ใช้อาวุธต่อสู้เพื่อให้ได้มาหรือเพื่อให้อีกฝ่ายล่มสลายไป ไล่ตั้งแต่ กลุ่มต่อกลุ่ม กลุ่มต่อรัฐ รัฐต่อรัฐ รัฐต่อกลุ่มรัฐ กลุ่มรัฐต่อกลุ่มรัฐ 

นักวิชาการบางส่วนมองว่าสงครามเป็นสากลและเป็นส่วนที่สืบมาแต่บรรพชนของธรรมชาติมนุษย์ มีการต่อสู้แย่งชิงกันมาตั้งแต่ ดึกดําบรรพ์ ตั้งแต่ใช้ หิน หอก มีด ดาบ กระบี่ ธนู จนกระทั้งพัฒนาถุงอาวุธที่ร้ายแรง เช่น ปืน ปืนใหญ่ รถถัง เครื่องบิน จรวด

ผมมองว่า ตั้งแต่อดีตมากองทัพของรัฐที่ไม่พร้อมรบ ถึงแม้รัฐนั้นจะอดุมสมบูรณ์มีการค้าขายที่เหนือกว่า อีกรัฐแต่ไม่มีกองกำลังและพัฒนาด้านอาวุธ กลับถูก รัฐที่มีความแข็งแกร่งทางทหาร รุกราน เข้าควบคุม ทำลายล้าง หรือ กระทั้งล้างอารยธรรมไปเลยก็มีมาแล้ว

ยกตัวอย่างประเทศที่ไม่พร้อมรบ เช่น กองทัพเยอรมัน บุก ประเทศโปแลนด์ แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 และเพียง 1 เดือนกับอีก 6 วัน ประเทศโปแลนด์ ที่ไม่ได้เตรียมพร้อมรบ สูญเสียอำนาจ สูญอธิปไตย ไปอย่างรวดเร็ว และถูกปกครองอย่างกดขี่ ผู้คนล้มตายมากมาย อยู่ถึง 6 ปี ด้วยกัน 

ยกตัวอย่างประเทศที่พร้อมรบ เช่น กองทัพของสหภาพโซเวียด บุก ประเทศฟินแลด์ แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ในวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1939 ปีเดียวกันกับที่โปแลนด์โดนบุก กองทัพโซเวียดราว 1 ล้านคน บุกโจมตีฟินแลนด์ แต่กองทัพฟินแลนด์สามารถต่อต้านการโจมตีได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้ว่าจะมีกำลังพลน้อยกว่ามาก กินระยาเวลากว่า 1ปี ทหารฟินแลนด์เสียชีวิตไป 26,662 นาย ทหารโซเวียด ชีวิตไป 126,875 นาย ถึงแม้จะเป็นประเทศเล็กๆ แต่ก็สามารถต้านทานมหาอำนาจที่มีกำลังมหาศาลได้ จนได้รับข้อเสนอจากโซเวียด การลงนามในสัญญาสันติภาพมอสโก โดยฟินแลนด์ยอมยกดินแดนบางส่วนให้โซเวียต แต่ก็ยังรักษาอำนาจ รักษาอธิปไตย เอาไว้ได้สำเร็จ แล้วไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจของใคร เพราะมีการเตรีมพร้อมที่ดี

และอีกประเทศที่มีการเตรียมพร้อมตลอดเวลา คือ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แม้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จะอยู่ข้างๆ2 มหาอำนาจอย่างเยอรมันและโซเวียด แต่กลับไม่ถูกรุกราน เพราะมีการเตรียมพร้อมมีการพัฒนาแผนรับสถานะการณ์เสมอ ทั้งทางการเมืองและทางการทหาร จนเป็นประเทศในผืนแผ่นดินยุโรปที่ไม่ได้เข้าสงครามโลกครั้งที่สองและไม่ได้ยิงกระสุนแม้แต่นัดเดียว และยังคงรักษาอำนาจ รักษาอธิปไตยได้จนถึง ปัจจุบัน

เราไม่สามารถรู้ได้ว่าสงครามจะมาเมื่อใด แต่รัฐควรจะเตรียมพร้อมเสมอ เมื่อยามมีปัญหาจะได้ไม่สูญเสียประเทศชาติให้กับใคร หรือตกอยู่ใต้อำนาจของใคร มีกองทัพที่แข็งแกร่ง ก็เป็นอย่างหนึ่งที่ช่วยให้รัฐนั้นมีอำนาจต่อรอง ไม่ให้โดนนำมาใช้ในข่มขู่ต่อรองในเรื่องผลประโยชน์ต่างๆระหว่างรัฐได้

ดังนั้นมุมมองของผม เรืออู กองทัพควรมีการพัฒนาและเตรียมพร้อมตลอดเวลา มีการซ้อมรบและถ้าผลิตอาวุธเองไม่ได้ก็ควรจัดหาอาวุธที่ทันสมัยเข้าเสริมความแข็งแกร่งของกองทัพ ตามความเหมาะสมและไม่ทุจริต ไม่ใช่เพื่อรุกรานแต่เพื่อรักษาอธิปไตยบ้านเกิดของตัวเอง

"แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ์" พระบรมราโชวาท ของ ร.6

สงครามเวียดนาม อเมริกาแพ้จริงหรือ

วันนี้ผมจะมาตอบข้อสงใสในมุมมองของผม เรืออู ให้ทุกได้รู้กัน

ภาพที่กรุงไซ่ง่อนแตก โดนกองกำลังคอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือ บุกยึด และ ภาพพลเมืองอเมริกัน และ ชาวเวียดนามพยายามอพยพลี้ไป เป็นภาพที่น่าหดหู่ของค่ายประชาธิปไตยเป็นอย่างมาก


เป็นเด็นที่ทุกคนอยากรู้คือ อเมริกา ทำไมถึงแพ้เวียดนามประเทศเล็กๆในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  

จริงๆแล้วกองทัพอเมริกาที่เข้าไปทำการรบในเวียดนามไม่ได้พ่ายแพ้แต่อย่างใด กลับเป็นฝ่ายได้เปรียบในแทบทุกสมรภูมิด้วยซ้ำไป  และยอดสูญเสีย  1 ต่อ 10  หรืออาจจะมากกว่า 10    ในสมรภูมิรบ ฝ่ายอเมริกาไม่ได้พ่ายแพ้ ต่อเวียดนามเหนือ

แต่สิ่งที่อเมริกาแพ้คือ การใช้จิตวิทยาของเวียดนามเหนือ โจมตีสถานที่สำคัญต่างๆ  ถึงแม้จะไม่ประสบความสำเร็จมากนักทางยุทธวิธี โดนยิงตายกันระนาว  แต่กลับประสบผลสำเร็จด้านจิตวิทยาจากภาพข่าวที่สะเทือนใจ กระจายออกไปทั่วโลกรวมถึง อเมริกาเองด้วย จนทำให้มีชาวอเมริกา ออกมาต่อต้านสงคราม และกดดันรัฐบาลอย่างหนัก  จนทำให้อเมริกาต้องถอนทหารออกจากเวียดนามใต้  ปล่อยให้รัฐบาลเวียดนามใต้ที่อ่อนแอและมีการทุจริตดูแลกันเอง  กองทัพคอมมิวนิสต์ จึงเริ่มรุกกลับจนตีกรุงไซ่ง่อนได้สำเร็จนั่นเอง  และประชาชนส่วนใหญ่ก็เป็นแนวร่วมของฝ่ายคอมมิวนิสต์

อเมริกาชนะสงครามทางการรบที่เวียดนาม 
แต่อเมริกาแพ้สงครามในครั้งนี้เพราะไม่สามารถหยุดยับยั้งการขยายอำนาจของระบอบคอมมิวนิสต์ ได้

การสู้รบครั้งนี้มีถ้ามองกว้างๆ จะเห็นถึงความขัดแย้ง ระหว่าง 2 ค่าย มหาอำนาจ คือ ค่าย คอมมิวนิสต์ ที่นำโดยรัสเซีย  และ ค่าย โลกเสรี อเมริกา   

ท้ายสุดแล้วอเมริกาไม่สามารถบรรุลุจุดเป้าหมายได้

ในมุมมองของ ผม เรืออู คิดว่า อเมริกาแพ้สงครามในครั้งนี้จริงๆ







วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558

ตัวปลอมของบุคคลสำคัญ

ตัวปลอมของเหล่าบุคคลสำคัญ

ตัวปลอมนั้นเหล่าบุคคลสำคัญ ได้เรียกใช้งานกันมากมาย  ตั้งแต่ โจเซฟ สตาลิน  อดีตผู้นำสหภาพโซเวียดผู้ยิ่งใหญ่   ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง    ซัดดัม ฮุสเซน  อดีต ประธานาธิบดี ประเทศอิรัก    ไม่เว้นแม้แต่หัวหน้าผู้ก่อการร้าย อย่าง อุสซามา บินลาเดน ก็มีเหมือนกัน  และอีกหลายๆคนที่ใช้ตัวปลอมแต่ไม่ประสงค์จะเปิดเผย

ทำไมบุคคลสำคัญถึงต้องใช้ตัวปลอม

1.คือเพื่อความปลอดภัยจากการถูกลอบสังหาร
2.ภารกิจล้นมือจนต้องใช้เหล่าตัวปลอมออกอีเว้นที่ไม่สำคัญแทน

เหล่าตัวปลอมมีหน้าที่อะไรบ้าง

หน้าที่มีมากมาย ซัดดัมใช้ตัวปลอม ไว้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ต่างๆ  โจเซฟ สตาลิน  ใช้ตัวปลอม แถลงการ ปราศัย ต่อหน้าคนนับหมื่น ออกตรวจราชการ   จนรูปที่คิดว่าเป็นโจเซฟสตาลินตัวจริงนั้น กลับเป็นตัวปลอม โดยที่หลายคนไม่รู้จนถึงทุกวันนี้

การเป็นตัวปลอมไม่ใช่เรื่องง่าย

การที่จะเหมือนตัวจริง 100 เปอเซ็นนั้นเป็นไปไม่ได้   อย่างมากก็เหมือน 70 ถึง 80 เปอเซ็น เท่าจากหน้าตา   น้ำหนักส่วนสูง อวัยวะต่างๆ  ต้องมีการศัลยกรรมตกแต่งให้ออกมาเหมือนตัวจริงมากที่สุด  และต้องมีการเรียนรู้ท่วงท่าอริยาบท การเดิน นั่ง กิน ดื่ม   แม้กระทั้งเรื่องที่ยากที่สุดคือการเลียนแบบการพูดและทำน้ำเสียงให้เหมือนมากที่สุด     และการที่เปิดเผยไม่ให้ครอบครัวญาติหรือแม้กระทั่งภรรยาสามีของตัวเอง รู้นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย  คุณอาจโดนจำหน่ายว่าตาย แล้วกลับมาในร่างใหม่ จนกว่าจะหมดหน้าที่สำคัญนี้ไป  ซึ่งแน่ล่ะ ค่าตอบแทนมันมากมายมหาศาล แต่คุณจะทนไม่เป็นตัวของตัวเองอยู่ได้นานแค่ไหนกัน


ภาพซ้ายตัวปลอม   ภาพขวาตัวจริง


ภาพซ้ายตัวจริง  ภาพขวาตัวปลอม




ซัดดัม ไม่รู้ใครจริงใครปลอม จนมีนักวิเคราะห์ บางคนบอกว่า ซัดดัมที่โดนจับได้ไม่แน่ว่าใช่ตัวจริงหรือไม่