วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ฮิตเลอร์ ผู้นำนาซีเยอรมัน ผู้หลังรักสุนัข


ฮิตเลอร์ ผู้นำนาซีเยอรมัน ผู้หลังรักสุนัข
ฮิตเลอร์เลี้ยงและรักสุนัขมากๆ มีเหตุการณ์ที่ทำให้ฮิตเลอร์ประทับใจ โดย ฮิตเลอร์เลี้ยงสุนัข ช่วงสงครามโลกครั้งที่1 และได้พลัดพรากกันไปในช่วงสงคราม
ต่อมาปี 1921 ฮิตเลอร์เลี้ยงพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ด แต่ก็ต้องจากกันอีกเพราะ ฮตเลอร์ ไม่มีเงินพอที่จะเลี้ยงดูมัน ฮิตเลอร์จึงนำมันไปให้บ้านพักพิงสุนัข แต่มันกลับหนีออกมาหาฮิตเลอร์อีกครั้ง ฮิตเลอร์จึงหลงรัก สุนัข เยอรมันเชพเพิร์ด เข้าไปอีก หลงรักขั้นที่ว่าต่อมาฮิตเลอร์เริ่มมีอำนาจ ได้สั่งให้สร้าง ศูนย์ฝึกวิจัย สุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ด ให้สามารถสื่อสารกับมนุยษ์ได้ เพิ่มเพิ่มขีดความสามารถในการช่วยมนุษย์ทำสิ่งต่างๆ


ในปี 1941 มาร์ติน บอร์มันน์ ได้มอบสุนัข พันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ด ชื่อ บลอนดี ให้กับฮิตเลอร์ ฮิตเลอร์รักเจ้าบลอนดี รูปที่ถ่ายหรือวีดีโอที่ถ่ายฮิตเลอร์มักจะเห็นเจ้า บลอนดี เสมอ ฮิตเลอร์ใช้เวลา ว่างฝึกเจ้าบรอนดี ด้วยตัวเอง จนวาระสุดท้ายนาซีเยอรมันไกล้ล่มสลาย ฮิตเลอร์ได้ทำบัตวินิบาตกรรม หนีความอับอาย และโชคร้ายเหลือเกิน เจ้าบรอนดี ด้วยความบ้าหรือฟั่นเฟือน ในตอนนั้น ฮิตเลอร์ได้ตัดสินใจเอาสุนัขผู้น่าสงสารไปด้วย โดยการกินยาพิษไซยาไนต์

ขายหมวกushanka ราคาพิเศษ เพียงใบล่ะ490บาทส่งฟรี  หมวกอุ่นๆนุ่มๆ สนใจ คลิ๊กลิ๊งเลยได้เลยคับ

วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สนามบีบีกันอุบลราชธานี เล่นฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย

เชิญชวน เพื่อนๆทุกท่านมาเล่นสนามบีบีกัน จังหวัดอุบลราชธานี ไม่เสี่ยค่าสนามเล่นกันแบบพี่น้อง ยินดีต้อนรับทุกคนคับผม  สนใจมาเล่นด้วยกัน คลิ๊กรูปตามจะเป็นลิ๊งไปหากลุ่มเฟสบุคของสนามลบีบีกันอุบลคับผม

ภาพบรรยากาศของสนาม บีบีกันจังหวัดอุบลราชธานี 



....สนาม #UBBG และชาว #UBBG ขอเชิญทุกท่านที่มีใจรักด้านยุทธกีฬา หรือชอบออกกำลังกายแนวจำลองการรบ เข้าร่วมสนุกออกกำลังกายกับกีฬาบีบีกันในทุกวัน พุธ/เสาร์/อาทิตย์ เวลา 14:00-18:00 น.ของทุกสัปดาห์ที่สนาม #UBBG(สนามขุนเดชเก่า) ช่วงระหว่างปรับปรุงสนามมาร่วมสนุกกันได้แบบไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้นนะครับ ไม่มีกำหนดจนกว่าระบบของทางสนามจะเข้าที่เข้าทาง แอดมินจะแจ้งอีกทีครับ
-------
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมมาเองของทางผู้เข้าร่วมสนุก
1.เครื่องป้องกัน หน้ากาก/แว่น(ทางสนามยังไม่เปิดให้บริการเช่า)
2.เครื่องแต่งกาย(ไม่จำกัดแนว)
3.อาวุธปืนประจำกาย/ลูกกระสุน/แบตเตอร์รี่/แม๊กกาซีน
3.1 ....ปืน....
วัดความแรงปืนไม่เกิน FPS ที่ลูก 0.20G
ระบบ GBB - 420 FPS
ระบบ AEG - 420 FPS
ระบบ Co2 - 420 FPS
ระบบ PTW - 420 FPS
ระบบ Air cocking shot gun - 450 FPS
ระบบ Air cocking sniper - 450 FPS
ระบบ GBB ปืนสั้น - 350 FPS
3.2 ....ลูกกระสุน....
****ไม่จำกัด****
3.3 ....แบตเตอร์รี่....
****ไม่จำกัด****
3.4 ....แม๊กกาซีน....
****ไม่จำกัด****
---------
****กฏ กติกา มารยาท****
ทั้งนี้ทั้งนั้นกีฬาบีบีกัน เป็นกีฬาที่ต้องใช้สปิริตในการเล่นการแข่งขันสูงมาก ทางสนามและสมาชิกเลยอยากจะกำชับให้ผู้เข้าร่วมสนุกทุกท่านโปรดจงได้ปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด เพื่อมิตรภาพและความสนุกสนานในการเล่น
1.ต้องสวมใส่เครื่องป้องกันให้ครบถ้วนก่อนลงสนาม และห้ามถอดเครื่องป้องกันจนกว่าการแข่งขันจะจบลง
2.การโดนยิงทุกส่วนของร่างกายถือว่าโดน ต้องออกจากการแข่งขัน ในกรณีที่ยังอยู่ในเวลาคอล สามารถคอลกลับมาเริ่มเกมได้...
3.ในกรณีต่อไปนี้ไม่ถือว่าโดนยิงและไม่ต้องออกจากการแข่งขัน
3.1 โดนปืน...ถือว่าไม่โดนยิง
3.2 ไม่ได้โดนยิงจากกระสุนวิถีตรง เช่น กระเดนจากพื้น กระเดนจากผนัง หรือแฉลบบังเกอร์
4.กฏการห้ามยิงในสนาม
4.1 ห้ามยิงในระยะต่ำกว่า 5 เมตร โดยให้ใช้คำว่า ยูเดท (You Dead)
แทน เนื่องจากอยู่ในระยะไกล้เกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ หรือใช้ปืนสั้น
4.2 ห้ามยิงลอดรูบังเกอร์เล็กๆ ที่อยู่ตามบังเกอร์ที่เราอยู่. . .โดยปกติแล้วแต่ละบังเกอร์อาจจะมีรูเล็กๆไว้ สำหรับการมอง แต่ห้ามใช้ปืนสอดรูเล็กๆ แล้วยิงออกไปเนื่องจาก ผู้อื่นจะไม่สามรถยิงกลับมาได้ การยิงให้เป็นการ
โผล่ออกจากบังเกอร์ยิงเท่านั้น
4.3 การยิงผู้อื่นถ้าสมารถเลือกที่ยิงได ้ควร เลือกยิงในส่วนของลำตัวหรือขา ไม่ควรยิงใส่บริเวณใบหน้าและดวงตาเพราะอาจเกิดการบาด เจ็บขึ้นได้
4.4 ขึ้น Safe ปืนก่อนเดินเข้า Safe Zone
4.5 ห้ามยิงปืนใน Safe Zone เด็ดขาด
5.กฏการ ยูเดท (You Dead)
5.1 การยูเดท (You Dead) ให้ใช้กรณีอยู่ใกล้กันต่ำกว่าระยะยิง 5 เมตร
5.2 ต้องหันปืนไปทางผู้ที่จะยูเดท (You Dead) แต่ให้เอานิ้วออกจากโก่งไกปืน ป้องกันการกดโดยอาจเกิดขึ้นจากความตกใจ
5.3 ให้พูดคำว่ายูเดท ให้ผู้ที่เราจะยูเดท ให้ได้ยิน ชัดๆ
5.4 ผู้ถูกยูเดท (You Dead) จะต้องออกจากสนาม ถือว่าโดนยิง
5.5 ถ้าเกิดการยูเดท (You Dead) พร้อมกัน ให้ถือว่าโดนยิงทั้งคู่ ต้องออกจากสนามทั้ง 2 คน
6.การแพ้ชนะ
6.1 เมื่อผู้เล่นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดนยิงหมดทุกคน
6.2 เมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งปฏิบัติภารกิจลุล่วงตามที่ได้ตกลงกันไว้
7.สำคัญที่สุดต้องมีสปิริตในเกม ไม่เหนียวและมีน้ำใจเป็นนักกีฬา จึงจะทำให้การเล่นเป็นไปอย่างสนุกและปลอดภัย
8.ผู้เล่นทุกคนต้องปฏิบัติตามกฏของสนามอย่างเคร่งครัด คนที่ฝ่าฝืนจะถูกตักเตือนก่อน ถ้าฝ่าฝืนอีกหรือทำผิดกฏจนทำให้ผู้อื่นได้รับควา มเดือดร้อนมาก จะถูกลงโทษตามกติกาของทางสนาม
8.1 เล่นเหนียวไม่มีน้ำใจนักกีฬา จับได้ครั้งแรก = ตักเตือน
8.2 เล่นเหนียวไม่มีน้ำใจนักกีฬา จับได้ครั้งที่สอง = แบนลงสนามตลอดวัน
8.3 เล่นเหนียวไม่มีน้ำใจนักกีฬา จับได้ครั้งที่สาม = แบนลงสนาม 7 วัน
8.4 เล่นเหนียวไม่มีน้ำใจนักกีฬา จับได้เกินตามที่กำหนดมาก่อนหน้านี้ = แบน 1-6 เดือน
9.ฝ่าฝืนทำผิดกติกาสนามข้ออื่นๆ = มีโทษแบนลงสนาม 1 ชั่วโมง หรือ ตามดุลพินิจของผู้ควบคุมการแข่งขัน
--------
ติดต่อสอบถามข้อมูลเข้าร่วมกิจกรรม
***Facebook***
Boat Shewaosod @มินโบ๊ท
Saturday Ooper @มินแซท
Chansin Kadaddang @มินโค้ก

วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2561

สงครามฟุตบอล สงครามที่ชนวนเหตุเกิดจากการแข่งขันฟุตบอล

สงครามฟุตบอล สงครามที่ชนวนเหตุเกิดจากการแข่งขันฟุตบอล
ระหว่างประเทศ เอลซัลวาดอร์ และประเทศ ฮอนดูรัส

เป็นสงครามระยะสั้น ๆ ในปี ค.ศ. 1969 ระหว่างเอลซัลวาดอร์กับฮอนดูรัส ต้นเหตุของสงครามเป็นเรื่องเศรษฐกิจและสังคม กล่าวคือ มาจากการที่รัฐบาลฮอนดูรัสตรากฎหมายปฏิรูปที่ดิน ค.ศ. 1962 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1967 โดยให้อำนาจรัฐบาลและเทศบาลต่าง ๆ ในการยึดที่ดินคืนจากเกษตรกรชาวเอลซัลวาดอร์ ซึ่งเป็นผู้ครอบครองปรปักษ์หรือได้ครอบครองที่ดินด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง แล้วนำไปแจกจ่ายให้แก่เกษตรกรและคนงานชาวฮอนดูรัสซึ่งยากจนและไม่มีที่ดินทำกิน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการลดแรงกดดันจากกลุ่มดังกล่าวซึ่งอาจรวมตัวกันต่อต้านรัฐบาล นอกจากนี้ ในฮอนดูรัสยังมีการจัดตั้งกลุ่มลับชื่อ "มันชาบราบา" (Mancha Brava) เพื่อตามข่มขู่และสังหารชาวเอลซัลวาดอร์อีกด้วย ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ชาวเอลซัลวาดอร์จำนวนมากจึงอพยพกลับประเทศของตน
ความตึงเครียดระหว่างประเทศทั้งสองมาปะทุถึงขีดสุด จุดแตกหักครั้งสำคัญก็เกิดขึ้นจนได้ ในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกนัดตัดสิน ระหว่าง เอล ซัลวาดอร์ กับ ฮอนดูรัส ในปี 1969 (เพื่อเข้าแข่งขัน ฟุตบอลโลก 1970 ที่ประเทศเม็กซิโก เป็นเจ้าภาพ) โดยนัดแรกของการเพลย์ออฟที่บ้านของฮอนดูรัสนั้น ทีมชาติเอล ซัลวาดอร์ พ่ายแพ้กลับไป 0 - 1 และมีกองเชียร์สาวฆ่าตัวตายจากความผิดหวังครั้งนี้ เมื่อกลับไปแข่งกันนัดที่ 2 ที่บ้านของ เอล ซัลวาดอร์ ปรากฎว่า เอล ซัลวาดอร์ เป็นฝ่ายชนะ 3 - 0 ท่ามกลางความรุนแรงที่เริ่มก่อตัวขึ้น และต้องตัดสินกันนัดที่ 3 ในสนามเป็นกลางที่ เม็กซิโก และ ทีมชาติเอล ซัลวาดอร์ เป็นฝ่ายชนะไป 3 -2 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ทำให้ได้สิทธิ์เข้าร่วมฟุตบอลโลก 1970 ทันที


หลังเกมส์จบลง บรรยากาศระหว่างประเทศทั้งสองเริ่มตึงเครียดมากกว่าเดิมเป็นทวีคูณ ความรุนแรงแถบชายแดนเริ่มปะทุและขยายวงกว้าง ชาวฮอนดูรัสรวมตัวกันไล่ทำร้าย บุกทำลายทรัพย์สินของชาวเอล ซัลวาดอร์ที่อาศัยอยู่ในฮอนดูรัสอย่างบ้าคลั่ง และขับไล่ให้กลับประเทศไป 


รัฐบาลเอล ซัลวาดอร์ เรียกร้องให้ยุติความรุนแรงแต่ไม่เป็นผล กองทัพเอล ซัลวาดอร์ ไม่มีใครเครื่องบินรบเลยส่งเครื่องบินส่วนบุคคลดัดแปลงเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดบนลำตัวเครื่องแทนเท่าที่พอจะหาได้เข้าทำลายสนามบินของฮอนดูรัส และวันต่อมาก็ส่งกำลังทหารบุกเข้าโจมตีฮอนดูรัส ฮอนดูรัสตอบโต้โดยการส่งเครื่องบินไปทิ้่งระเบิดคืนบ้าง การสู้รบเป็นไปอย่างดุเดือด สหรัฐอเมริกา ต้องออกมาห้ามทัพ สั่งให้ เอล ซัลวาดอร์ถอนกำลังออกไป และให้เปิดการเจรจาหยุดยิงของทั้ง 2 ฝ่ายในอีก 4 วันต่อมา 

โดยสงครามครั้งนี้ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 3,000 คน และทรัพย์สินที่ถูกทำลายไปอีกนับไม่ถ้วน

แม้ว่าฟุตบอลจะเป็นเพียงปลายเหตุเพราะว่า 2 ประเทศนี้มีปัญหากันมานานแล้ว แต่การรบครั้งนั้นได้ชื่อว่า "Football War" หรือ "สงครามฟุตบอล" หรือ "สงคราม 100 ชั่วโมง" นั่นเอง 

อย่างไรก็ตาม ปีต่อมา ทีมชาติเอล ซัลวาดอร์ เข้าแข่ง FIFA World Cup 1970 ที่ประเทศเม็กซิโก ตามสิทธิ์ที่ได้รับ ซึ่งถือเป็นการเข้าแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศอีกด้วย 

เครดิต YESK_TS369


วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2561

รบพิเศษอเมริกา ถูกโจมตีเสียชีวิต พร้อมคลิปแผนการรบและวินาทีชีวิตของทหารกล้า

เรื่องนี้เกิดดังขึ้นเมื่อ กลุ่มไอซิส ลงคลิปการสังหารทหาร อเมริกาที่ประเทศไนเจอร์ 

เหตุการเกิดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคมปี 2017 หน่วยรบพิเศษกรีนเบเรต์  ถูกกลุ่มก่อการร้าย IS ที่มีไม่ต่ำกว่า 100 คนซุ่มโจมตี ทีมกรีนเบเรต์เดินทางเข้าพื้นที่ด้วยยานพาหนะ ที่ไม่สามารถกันกระสุนได้ เพื่อพบกับกลุ่มผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่ห่างไกลของไนเจอร์ใกล้พรมแดนมาลี 
เวลานั้น ทางสหรัฐฯต้องขอความช่วยเหลือจากกองทัพฝรั่งเศสในการใช้เฮลิคอปเตอร์ซูปเปอร์ฟพูมา(Super Puma)ในการลำเลียงคนเจ็บ และผู้เสียชีวิต ออกนอกพื้นที่ ซึ่งพบว่าหลังจากนั้นทหารสหรัฐฯ 2 นายที่ได้รับบาดเจ็บถูกส่งตัวไปรักษาต่อที่เยอรมัน รวมไปถึงในรายงานมีการพบว่า ทางกองทัพฝรั่งเศสใช้เครื่องบินโจมตีเพื่อยิงคุ้มกันทางอากาศให้กับกองกำลังสหรัฐฯทางภาคพื้น
แต่อย่างไรก็ตาม แต่แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่สหรัฐฯหลายคนได้อ้างกับ CNN ในเรื่องนี้ว่า รัฐบาลไนเจอร์ในเวลานี้ยังไม่อนุญาตให้มีการออกปฎิบัติการโจมตีทางอากาศภายในดินแดนของตัวเอง

คลิปเหตุการณ์จริง 18+ 



คลิปกราฟฟิคจำลองเหตุการณ์ ทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2561

พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช เจ้าดาราทอง

พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช

         ในปลายทศวรรษที่ 1830 สมัยที่สยามยังไม่เป็นที่รู้จักของประชาชนทั่วไปในยุโรป เจ้าชายสยามองค์หนึ่งทรงทำให้ชื่อของประเทศสยามระบือลื่อเลื่องลงหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในอังกฤษ ชื่อเสียงขจรขจายทั่วประเทศอื่นๆในยุโรปที่สนใจกีฬา เพราะทรงชนะเลิศอันดับหนึ่งของการแข่งรถระหว่างชาติทั่วทวีปยุโรป 3 ปีซ้อน คือปี 1936 ปี 1937 และ ปี 1938 จนคว้าตำแหน่ง " ดาราทอง " ของสมาคมนักแข่งรถอังกฤษมาครองได้

เกียรติประวัติที่ควรจารึกไว้ คือ
  • ทรงชนะที่หนึ่ง 4 ครั้ง จากการชิงถ้วยเจ้าชายเรนีย์แห่งโมนาโก ชิงรางวัลระหว่างชาติที่บรูคแลนด์ส ชิงรางวัลใหญ่ของปีการ์ดี และชิงรางวัลของอาลบี
  • ชนะที่สอง 2 ครั้ง จากการแข่งที่เกาะแห่งเมน และการแข่งขันที่กรุงดับลิน
  • ชนะที่สาม 2 ครั้งจากการแข่งที่ภูเขาไอเฟิล และการชิงแชมเปี้ยนภูเขาที่บรูคแลนด์ส
  เจ้าชายสยามองค์นั้นคือพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช หรือคนไทยเรียกกันสั้นๆว่า “พระองค์พีระ

เมื่อเสด็จกลับสยาม สื่อมวลชนไทยในสมัยนั้นถวายสมญาว่า " เจ้าดาราทอง " ราษฎรไปรับเสด็จกันคับคั่ง ทรงกลายเป็นวีรบุรุษในวงการกีฬาและขวัญใจประชาชน สีฟ้าสดของรถแข่งที่ทรงขับ เรียกกันว่าสีฟ้าพีระ หรือ Bira blue กลายเป็นสีฮิตกันพักใหญ่ของสาวๆ ในงานเลี้ยงที่จัดขึ้นต้อนรับพระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช แขกสาวๆในงานแต่งกายด้วยสีฟ้าสด สวยละลานตากันทั้งงาน

พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช ประสูติเมื่อวันที่ 15 กรกฏาคม พ.ศ. 2457 ทรงถือกำเนิดเป็นหม่อมเจ้า พระโอรสในเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ สมเด็จกรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ผู้เป็นพระราชอนุชาพระองค์เล็กร่วมพระชนกชนนีกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หม่อมมารดาของพระองค์พีระ คือหม่อมเล็ก สกุลเดิม ยงใจยุทธ เป็นป้าของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ

ต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม เลื่อนหม่อมเจ้าพีรพงศ์ภาณุเดชขึ้นเป็นพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช ภาษาชาวบ้านเรียกว่า " พระองค์เจ้าตั้ง " คือพระองค์เจ้าที่เลื่อนขึ้นจากหม่อมเจ้า โอรสธิดาของท่านดำรงฐานันดรเป็นหม่อมราชวงศ์ ตามลำดับฐานันดรเดิมของท่านพ่อ

อย่างไรก็ตาม ชีวิตของพระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช ในเบื้องต้น ดำเนินไปเหมือนเจ้าชายในเทพนิยาย นอกจากชาติกำเนิดสูงแล้ว เจ้าชายสยามก็ยังมีการศึกษาดีเยี่ยมสำหรับเจ้าชายไทยในสมัยนั้น

ในปีพ.ศ.2463ทรงเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ เมื่อพระชนม์ 13 ชันษา ก็เสด็จไปศึกษาต่อที่โรงเรียน อีตัน ณ กรุงลอนดอน ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมขึ้นชื่อที่สุดของอังกฤษ มีแต่เจ้านายและลูกผู้ดีมีตระกูลเรียนกันทั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เคยทรงศึกษาที่นี่เช่นกัน

พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช เป็นเด็กชายลักษณะดี เป็นที่เมตตาของผู้ใหญ่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเมตตาประหนึ่งเป็นพระราชบุตร ทรงรับไว้ในปกครอง

เมื่อเสด็จไปอังกฤษ พระองค์พีระทรงพบกับพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุลจักรพงศ์( พระโอรสในเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ) ซึ่งทรงศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ถ้าลำดับญาติกันแล้วพระองค์พีระอยู่ในฐานะอา และพระองค์จุลเป็นหลาน แต่ว่าพระองค์จุลทรงมีพระชันษาแก่กว่า 7 ปี เกิดถูกชะตาเหมือนเป็นพี่ชายน้องชายแท้ๆ

พระองค์จุลจึงทรงทูลขอ พระบรมราชา นุญาตจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอเป็นผู้ปกครองพระองค์พีระแทน ทรงสนับสนุนให้เข้าแข่งกีฬา จนได้ชัยชนะ โดยที่ทรงดูแลออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ และทรงอุปการะพระองค์พีระอย่างดีจนตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์

นอกจากความสามารถในการแข่งรถ พระองค์พีระยังเป็นนักกีฬาที่โปรดการเล่นเรืออีกด้วย ที่น่าทึ่งมากคือทรงมี "หัว" ทางศิลปะ ควบคู่ไปกับการกีฬาจนตัดสินพระทัยไม่เข้าศึกษาต่อที่เคมบริดจ์ แต่เบนเข็มไปศึกษาด้านประติมากรรมแทน

ทรงไปศึกษาเรื่องการวาดลายเส้นที่ Byam Shaw Art School ที่นี่เองทรงพบหญิงสาวสวยชาวอังกฤษชื่อ ซีริล เฮย์ค็อก ซีริลนั้นเป็นลูกผู้ดี พ่อมีเชื้อสายขุนนางเก่าแก่ ส่วนทางตระกูลแม่ ก็เป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยจนได้บรรดาศักดิ์เป็นเซอร์ ญาติคนหนึ่งเคยเป็นนายกเทศมนตรีของลอนดอนผู้เคยรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาแล้ว

พระองค์พีระและซีริลหลงรักกันตั้งแต่แรกพบ จนกระทั่งได้แต่งงานกันในที่สุด เธอก็เลยกลายมาเป็นหม่อมซีริล ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา เดินทางมาประเทศไทยพร้อมกับพระสวามี เธอชอบประเทศไทยมาก

หลังจากอยู่สยามได้ระยะหนึ่ง พระองค์พีระก็พาหม่อมกลับอังกฤษเพื่อเตรียมตัวแข่งขันรถ Grand Prix ต่อไปหลังจากนั้นอีกไม่กี่ปี สงครามโลกครั้งที่สองก็ปะทุขึ้นจากเยอรมันบุกโปแลนด์แบบสายฟ้าแลบ พระองค์พีระยังทรงอยู่ที่อังกฤษ ไม่ได้กลับสยาม

เหตุการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศตอนนั้นวุ่นวายมาก ในตอนแรกสยามก็ดูจะเข้าข้างพันธมิตร แต่ต่อมา ญี่ปุ่นบุกไทยเป็นทางผ่านไปสู่พม่า รัฐบาลตัดสินใจยอมประนีประนอมเพื่อไม่ให้เสียเลือดเนื้อคนไทย แล้วก็ตกบันไดพลอยโจนคบญี่ปุ่นเป็นมหามิตร จนถึงขั้นประกาศเป็นฝ่ายเดียวกับญี่ปุ่น แล้วเลยกลายเป็นศัตรูกับฝ่ายพันธมิตรไปด้วย

ทูตไทยถูกเรียกตัวกลับ สถานทูตปิด พระองค์พีระไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลไทย ก็ตัดสินพระทัยสมัครเข้าร่วมรบเป็นฝ่ายเดียวกับพันธมิตร เสด็จไปเข้าศูนย์ฝึกอบรมการบิน เข้าประจำศูนย์ในฐานะครูฝึกเครื่องร่อนซึ่งทรงชำนาญอยู่แล้ว ได้ตำแหน่งเป็นเรืออากาศโท มีลูกศิษย์ลูกหาชาวอังกฤษมากมาย เจ้านายสยามหลายพระองค์ที่อยู่อังกฤษ เข้าร่วมรบกับพันธมิตรต่อต้านเยอรมัน พระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาพพระอนุชาพระองค์พีระ ที่เป็นพระโอรสบุญธรรมในสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สมัครเข้าเป็นนักบินอาสาสมัคร นำเครื่องบินไปส่งลงเรือรบ นักเรียนไทยรวมกันจัดตั้งขบวนการเสรีไทย มีหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์เป็นหัวหน้า

น่าเสียดายว่าพระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาพประสบอุบัติเหตุเครื่องบินชนภูเขาสิ้นพระชนม์ ส่วนพระองค์พีระทรงอยู่รอดปลอดภัยมาได้ตลอดสงคราม จนกระทั่งเยอรมันและญี่ปุ่นแพ้ฝ่ายพันธมิตร สงครามโลกก็สงบลงใน พ.ศ. 2488 สันติภาพคืนมาสู่ยุโรป

เมื่อสันติภาพคืนมาสู่สังคมยุโรปอีกครั้ง กิจกรรมสังคมอย่างการกีฬาก็เฟื่องฟูขึ้นมาอีก ชีวิตของเจ้าชายหนุ่มสยาม และชายาสาวชาวอังกฤษดำเนินไปเหมือนความฝันเท่าที่มนุษย์จะพึงมีได้ พรั่งพร้อมทั้งสุข ความรัก ชื่อเสียง ความสำเร็จ มีโอกาสท่องเที่ยวอย่างเศรษฐีไปในสถานที่สวยงามหลายแห่งของโลกด้วยกันทั้งยุโรปและอเมริกา

ไม่ว่าไปไหน ทรงเป็นแขกเกียรติยศของสมาคมและบุคคลสำคัญ ในฐานะบุคคลผู้มีชื่อเสียงระดับโลก ครั้งหนึ่งได้รับเชิญให้เข้าเฝ้าพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งอังกฤษ (พระราชบิดาของพระราชินีนาถเอลิซาเบธในปัจจุบัน)เพราะโปรดเรื่องรถแข่งมาก ทรงต้อนรับเจ้าชายสยามด้วยพระอัธยาศัยดีเหมือนเป็นพระญาติสนิทด้วยกัน

หม่อมมณี ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา(คุณหญิงมณี สิริวรสาร)อดีตชายาของพระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาต บันทึกเอาไว้เกี่ยวกับท่านในหนังสือ " ชีวิตเหมือนฝัน " ว่า

" นิสัยใจคอของสองพระองค์นั้นต่างกันมาก พระองค์จิรศักดิ์ฯ นั้นโปรดการสนทนาปราศรัยกับคนอื่น และมีจิตใจนึกถึงแต่ส่วนรวมเสมอ ส่วนพระองค์พีระฯทรงสนุกสนานร่าเริงกับสิ่งที่พอพระทัย ไม่สนพระทัยกับเรื่องราวของคนอื่นๆเลย

วันหนึ่งดิฉันล้อเลียนท่านว่า พระองค์เป็นเศรษฐีขี้คร้าน The Idle rich ไม่เห็นทรงทำสิ่งใดให้เป็นประโยชน์ คิดแต่ความสนุกสนานของท่านฝ่ายเดียว พระองค์พีระก็ทรงพระสรวลอย่างอารมณ์ดีและตรัสว่า

" ที่จริงพวกเธอน่ะสิที่ชอบวุ่นวาย อยากให้ความช่วยเหลือคนอื่นๆทั้งๆที่พวกเขาไม่เห็นต้องการ เช่นพวกมิชชั่นนารีเป็นต้น พวกนั้นพร้อมที่จะเสียสละทุกอย่างไปอยู่ต่างแดน ทำงานไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก แต่พวกเขาก็ไม่เห็นได้ทำอะไรให้เป็นผลสำเร็จมากนัก

ปรัชญาชีวิตของฉันก็คือว่า ไม่ขอไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของคนอื่น และฉันทำสิ่งที่ฉันพอใจถ้าหากสามารถทำได้ ถึงแม้ว่าฉันจะมิได้ทำประโยชน์อะไรให้เกิดขึ้นแก่ผู้ใด แต่ก็ไม่เคยทำอะไรให้คนอื่นเดือดร้อน การที่อยู่เฉยๆโดยไม่เบียดเบียนใครก็เป็นผลดีอย่างหนึ่งเหมือนกันนะ "

ความสุขเหมือนฝันของพระองค์พีระและหม่อมซีริลยืนยาวได้แค่ 11 ปี ขึ้นปีที่ 12 ปรัชญาชีวิตของพระองค์พีระก็ก่อผลกระทบต่อหม่อม ในข้อที่ว่า “ขอทำสิ่งที่พอใจ ถ้าหากสามารถทำได้”

ความที่ทรงเป็นคนดัง บุคลิกดี ตรัสได้คล่องทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส และยังใช้ชีวิตอย่างเศรษฐี สิ่งเหล่านี้กลายเป็นแรงดึงดูดหญิงสาวอื่นๆให้เข้ามาหลงใหลท่าน พระองค์พีระมิได้เลิกรักหม่อมซีริล เพียงแต่ว่าทรงพอพระทัยที่จะทำตามพระทัยมากกว่าจะฝืนพระประสงค์ขององค์เอง ถ้าหากว่าหม่อมซีริลโอนอ่อนผ่อนตามได้ไม่เดือดร้อน ด้วยการทำใจเสียว่าหญิงอื่นๆที่เข้ามาเกี่ยวข้องไม่มีความหมายกับท่านเท่าภรรยาตามกฎหมาย ก็คงจะครองชีวิตคู่กันต่อไปได้ แต่ว่าหม่อมซีริลทำใจไม่ได้ที่พระองค์พีระมีหญิงอื่น แม้จะไม่ทรงจริงจังด้วยนัก เธอถือว่าเป็นความเดือดร้อนสาหัสของภรรยา เธอจึงตัดสินใจขอแยกกันอยู่พักหนึ่งเพื่อระงับจิตใจ

ระหว่างที่แยกกันอยู่โดยยังไม่ได้หย่าขาดจากกัน สถานการณ์ก็ยิ่งทำให้ทั้งสองห่างเหินกันมากขึ้นอีก พระองค์พีระเสด็จไปแข่งรถที่อาร์เจนตินา ก็ได้พบชาลิต้า หญิงสาวเลือดละติน ผู้สวยสดงดงามราวกับดาราหนัง เมื่อทรงบาดเจ็บจากการแข่งรถ ก็มีหล่อนคอยปรนนิบัติดูแล

ในที่สุดก็ทรงพาชาลิต้ากลับมาอังกฤษด้วยกัน ประทับอยู่กับหล่อน ไม่ได้กลับบ้านไปหาหม่อมซีริล หม่อมซีริลจึงตัดสินใจขอหย่าขาดจากพระองค์พีระตามกฎหมาย เมื่อ พ.ศ.2493 ทั้งที่ยังรัก พระองค์พีระเองก็ทั้งรักและอาลัยหม่อม ทรงอ้อนวอนให้หม่อมเปลี่ยนใจไม่หย่า แต่ก็ไม่ทรงคิดที่จะสละชาลิต้าไปได้อยู่ดี ทั้งคู่จากกันด้วยน้ำตา เพราะรู้ตัวว่าสามารถครองคู่กันได้เพียงแค่นี้ เหลือแต่ความเป็นเพื่อนกันเท่านั้น

หม่อมซีริลไม่ได้แต่งงานใหม่ เธอมีเพื่อนใจเป็นหนุ่มโสดอายุ 40 กว่า คบหากันมาจนเขาตายจากไปโดยไม่ได้สมรสกัน ส่วนทางฝ่ายพระองค์พีระ ทรงลังเลอยู่ถึง 3 ปีถึงตัดสินพระทัยเสกสมรสใหม่กับหม่อมชาลิต้า แต่ก็ยังระลึกถึงหม่อมซีริลเสมอ ทรงเป็นมิตรกับเพื่อนชายของหม่อมซีริล แล้วพาชาลิต้าไปด้วยเพื่อให้รู้จักกับหม่อม ไปไหนมาไหนกัน 4 คนแต่หม่อมซีริลก็ไม่ได้กลับมาหาท่านอีก คงพบปะกันอย่างเพื่อนสนิทเท่านั้น
ชีวิตในช่วงที่สอง เป็นช่วงโชคดีของพระองค์พีระอีกครั้ง เพราะนอกจากจะมีหม่อมสาวสวยคนใหม่ที่รักกันดูดดื่มแล้ว ก็ยังได้รับมรดกก้อนใหญ่จากการขายมรดกวังบูรพาแบ่งกันในระหว่างเจ้าพี่เจ้าน้อง ทรงโอนเงินไปไว้ที่ปารีสทั้งหมด เงินจำนวนนี้มากพอจะทำให้พระองค์พีระทรงซื้อรถยนต์บูอิคเปิดประทุนสีฟ้าพีระ มีเรือยอชต์ใหม่ และปรับปรุงวิลลาที่เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศสที่ทรงซื้อไว้แล้ว เพื่อดำเนินชีวิตอย่างเศรษฐี

การใช้ชีวิตในช่วงนี้หรูหรามาก เวลาขับบูอิคคันงามไปไหนมาไหนชาวปารีสมองกันจนเหลียวหลังสมกับเป็นคนดังระดับนานาชาติ แต่ข้อเสียคือการใช้ชีวิตอย่างเศรษฐี มีแต่รายจ่าย เมื่ออยู่วิลล่าที่เมืองคานส์ ก็ต้องเปลืองเงินทั้งค่าภาษีและค่าซ่อมแซมดูแลคฤหาสน์ด้วยราคาแพงลิบ เมื่อโปรดขับรถเร็ว วันหนึ่งก็ทรงขับบูอิคไปชนกับรถอีกคัน รถใหม่เอี่ยมพังยับเยิน ไม่มีประกันเสียด้วย ต้องทรงจ่ายเงินอีกก้อนใหญ่ซ่อมรถกับจ่ายให้คู่กรณี

ในที่สุด ถึงปลายปีพ.ศ. 2497 ก็ทรงเห็นว่าพ้นยุคที่จะทรงแข่งรถอีกต่อไปแล้ว รถแข่งรุ่นใหม่ๆสมรรถภาพดีเกิดขึ้น แซงหน้ารถที่ทรงขับไปได้ง่ายๆ ถ้าจะลงทุนซื้อรถใหม่พร้อมการดูแลในการแข่งรถอีกก็เป็นเรื่องสิ้นเปลืองมหาศาล ประกอบกับหม่อมชาลิต้ามีโอรส คือหม่อมราชวงศ์ พีรเดช จึงตัดสินพระทัยแขวนนวมอำลาชีวิตนักแข่ง พาครอบครัวกลับมาตั้งรกรากในเมืองไทยใน พ.ศ. 2499 ทรงจบบทบาทของเจ้าดาราทองที่โด่งดังไปทั่วยุโรปและอเมริกา เมื่อพระชนม์ได้ 42 พรรษา

ถ้าหากว่าชีวิตของพระองค์พีระเป็นนิยาย ฉากสุดท้ายก็คงเป็นตอนที่ทรงอำลาชีวิตนักแข่งรถ แล้วเสด็จกลับบ้านเกิดเมืองนอนพร้อมครอบครัวที่สมบูรณ์แบบครบถ้วนพ่อ แม่และลูกชายวัยน่ารัก จบลงอย่างมีความสุขทั้งคนดูและผู้ประพันธ์เรื่อ

ในเมื่อเป็นชีวิตจริง เรื่องยังไม่จบแค่นั้น ยังมีความยุ่งยากตามมาอีกมากมาย เริ่มต้นด้วย หม่อมชาลิต้าไม่มีความสุขที่อยู่ในประเทศไทย เธอทนอยู่ได้แค่ 11 วันก็บินกลับไปฝรั่งเศส อีก 7 เดือนต่อมาพระองค์พีระก็ทรงบินไปหย่าขาดจากหม่อมคนที่สอง โดยตกลงกันว่าคุณชายพีรเดชจะอยู่ในความปกครองของมารดาจนอายุ 21 ปี

ก่อนหน้านี้พระองค์พีระเคยพบปะแอร์โฮสเตสสาวสวยคนไทยคนหนึ่งแล้ว ทรงพอพระทัยมากถึงกับเคยเชิญเธอไปเป็นแขก ณ วิลล่าที่เมืองคานส์ ทำให้หม่อมชาลิต้าหึงหวงอยู่พักใหญ่ แต่ก็จบลงด้วยการที่ทรงคืนดีกับหม่อมแล้วใช้ชีวิตครอบครัวด้วยกันต่อมา หญิงสาวสวยชาวไทยคนนี้ ก็คือคุณสาลิกา กะลันตานนท์

คุณสาลิกาคือหม่อมคนที่สามของพระองค์พีระ ทรงสมรสด้วยเมื่อพ.ศ. 2500 ส่วนเรื่องงาน ก็ทรงเริ่มชีวิตนักธุรกิจ ตั้งบริษัท Bira Sport เป็นผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ยี่ห้อ nectar จากเยอรมัน

วงล้อแห่งโชคชะตาได้หมุนพาพระองค์พีระขึ้นสู่จุดสูงสุดตั้งแต่พระชนม์ยี่สิบเศษๆ มาแล้ว แล้วหยุดนิ่งอยู่ตรงจุดสูงสุด จนถึงพระชนม์สี่สิบเศษ หลังจากนั้นวงล้อก็เริ่มหมุนลง

เริ่มต้นด้วยธุรกิจรถยนต์สั่งจากเยอรมัน ต้องล้มเลิกไป พระองค์พีระเป็นนักกีฬาระดับอัจฉริยะก็จริง แต่ไม่ทรงมีหัวทางธุรกิจ เพียงสามปีก็ทรงจำต้องเลิกกิจการ แล้วตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Bira Commmerce Co. แทน ต่อมาทรงดำริจะตั้งบริษัทเกี่ยวกับการบินชื่อ Bira Air Transport เพื่อขนส่งสินค้าทางอากาศระหว่างไทยกับลอนดอนแต่ธุรกิจนี้ก็ไปไม่รอดอีก

หลังสงครามโลกครั้งที่สองจบลงในพ.ศ. 2488 ประเทศไทยได้มหามิตรรายใหม่คือสหรัฐอเมริกา วัฒนธรรมความเป็นอยู่แบบอเมริกันหลั่งไหลเข้ามาแทนที่วัฒนธรรมยุโรปที่เคยรับมาตั้งแต่รัชกาลที่ 6 รถยนต์อังกฤษ ฝรั่งเศสและเยอรมันที่คนไทยเคยชอบก็ถูกแทนที่ด้วยรถยนต์ยี่ห้อต่างๆของอเมริกาแทนรถอเมริกันอย่างไครสเลอร์ คาดิลแลค โอลสโมบิล พลีมัธ วิ่งกันหนาตาในช่วงปีพ.ศ. 2500 – 2510 กิจการบริษัทของพระองค์พีระก็ต้องปิดลงอีกครั้ง

เรื่องที่สองคือผู้เป็นที่รักยิ่งของท่าน จากไปทั้งสองคนในปีเดียวกัน พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์สิ้นพระชนม์ด้วยโรคมะเร็ง เมื่อพ.ศ. 2506 ส่วนหม่อมสาลิกาผู้ครองรักกันอย่างเป็นสุขมา 6 ปีก็จำใจทูลลาหย่าขาดจากท่าน จากกันด้วยน้ำตาเช่นเดียวกับหม่อมซีริล

ความสูญเสียของพระองค์พีระไม่ได้จบลงแค่นี้ 8 ปีต่อมา หม่อมราชวงศ์ พีรเดช ผู้กำลังเป็นหนุ่มวัยรุ่น น่าจะมีอนาคตอีกไกล กลับเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งตับ อย่างไม่น่าเชื่อสำหรับเด็กหนุ่มวัยนี้

หลังพ.ศ.2506 เมื่อหม่อมสาลิกาแยกทางไปแล้ว ชีวิตหลังจากนั้นค่อนข้างคลุมเครือสำหรับผู้สนใจศึกษาชีวประวัติ ทราบแต่ว่า พระองค์เจ้าพีระทรงมีหม่อมอีก 2 คนที่ไม่ปรากฏชื่อในสังคม และหนึ่งในจำนวนนี้มีโอรส(หรือธิดา)ด้วยกัน แต่ไม่มีรายละเอียดให้ทราบมากกว่านั้น

ที่รู้คือในพ.ศ. 2514 เสด็จไปยุโรปอีกครั้ง เพื่อเตรียมแข่งขันเรือใบสำหรับกีฬาโอลิมปิคที่เยอรมนี แล้วแวะเยี่ยมหม่อมซีริลที่อิตาลี ต่อจากนั้น ข่าวคราวของพระองค์พีระหายเงียบไปจากสังคม อาจจะมีแต่พระญาติสนิทเท่านั้นที่รู้ว่าทรงอยู่ที่ไหนอย่างไร

สำหรับคนรุ่นใหม่ที่เกิดหลังสงครามโลก เป็นหนุ่มสาวในทศวรรษ 1960 เกือบทั้งหมดไม่รู้จักพระนามเจ้าดาราทองอีกแล้วสังคมไทยเปลี่ยนโฉมหน้าไปมากมาย ความสนใจของหนุ่มสาวมุ่งไปที่เสียงเพลงมากกว่ากีฬา หรือถ้ามีการแข่งขันกีฬาใหญ่โตอย่างเอเชียนเกมส์ ความสนใจก็พุ่งไปที่กีฬาฟุตบอล วิ่ง ว่ายน้ำ เสียมากกว่า

เวลาผ่านไปจนถึงทศวรรษ 1970 ความโอ่อ่ารุ่งเรืองในอดีตกลายเป็นเรื่องที่ถูกเก็บลงหีบ หมดสิ้นไปกับกาลเวลา พระองค์พีระมีพระชนม์หกสิบเศษ อาจจะเสด็จปะปนไปกับฝูงชนริมถนนในกรุงเทพมหานครโดยไม่มีใครรู้จักว่าชายชราผู้นี้คือใคร ในบั้นปลายพระชนม์ชีพ เท่าที่ทราบคือทรงดำเนินชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ฐานะความเป็นอยู่ก็ไม่อำนวยให้ทรงอยู่ได้อย่างชั้นหนึ่งเหมือนเมื่อก่อนอีก

เมื่อพ.ศ. 2526 เสด็จกลับไปอังกฤษอีกครั้ง เก็บพระองค์อย่างชายชราที่ไม่มีใครรู้จัก ทรงแวะเยี่ยมหม่อมซีริลเป็นครั้งสุดท้าย

สองวันก่อนคริสต์มาส 23 ธันวาคม พ.ศ. 2528 ผู้คนในลอนดอนกำลังชุลมุนวุ่นวายจับจ่ายซื้อข้าวของต้อนรับเทศกาลสำคัญที่สุดของชาวคริสต์ ชายชราคนหนึ่งล้มลงที่สถานีรถไฟบารอนส์คอร์ต สิ้นลมหายใจก่อนแก้ไขทัน

ไม่มีใครทราบว่าชายชาวเอเชียคนนี้เป็นใคร ไม่มีหลักฐานชื่อที่อยู่ในตัวเขา นอกจากจดหมายเขียนเป็นภาษาที่ตำรวจอ่านไม่ออก สก๊อตแลนด์ยาร์ดส่งจดหมายไปสอบถามผู้เชียวชาญทางภาษาที่มหาวิทยาลัยลอนดอน กินเวลาถึง 7 วันก่อนจะรู้และแจ้งสถานเอกอัครราชทูตไทย ในลอนดอนว่า พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช เจ้าดาราทองผู้โด่งดังที่สุดเมื่อ 50 ปีก่อนสิ้นพระชนม์เสียแล้ว พระชนม์ 71 พรรษา

BBC ออกข่าวโทรทัศน์ทั่วประเทศทั้งเช้า กลางวัน เย็น ถือเป็นข่าวใหญ่ ITV ออกข่าวไปทั่วโลก ข่าวสิ้นพระชนม์ลงข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ไทยทุกฉบับ รวมทั้งนสพ.อังกฤษและประเทศอื่นๆที่เคยทรงทำชื่อเสียงไว้

สถานทูตจัดพิธีสวดพระอภิธรรมถวายอย่างสมพระเกียรติ บรรดาเชื้อพระวงศ์ที่อยู่ในอังกฤษได้รับแจ้งข่าวนี้ทั้งหมด เมื่อพระศพถูกเคลื่อนย้ายไปที่สุสานเพื่อถวายพระเพลิง นักแข่งรถดังๆสมัยเดียวกันรวมตัวกันทั่วยุโรป บินมาร่วมแสดงความคารวะ หม่อมราชวงศ์ นริศรา จักรพงษ์ ธิดาในพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์เป็นผู้อัญเชิญธูปเทียนพระราชทานมาร่วมงาน ข้าราชการไทยในสถานทูตไปร่วมงานกันทั้งหมด

หม่อมราชวงศ์ มาลินี จักรพันธุ์ ผู้รวบรวมประวัติของท่าน ส่งท้ายไว้อย่างงดงามว่า
“ ดวงพระวิญญาณลอยละล่องขึ้นสู่สรวงสวรรค์ พระองค์สิ้นพระชนม์อย่างโดดเดี่ยว เพียงแค่จดหมายภาษาไทยหนึ่งฉบับที่ทรงทิ้งไว้เพื่อส่งท้ายให้ได้ทราบว่าพระองค์คือใคร เทพส่งพระองค์ท่านลงมาจุติอย่างงามสง่า พระนามขจรขจายก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปทั่วโลก และเทพได้นำพระองค์ท่าน “ เจ้าดาราทอง” เสด็จกลับขึ้นไปอย่างเดียวดาย เหมือนสวรรค์แกล้งให้โลกลืม” หนังสืออ้างอิง
  • ต้นกำเนิดที่เกิดเหตุ " เจ้าชายดาราทอง " โดย หญิงหมัด (หม่อมราชวงศ์ มาลินี จักรพันธุ์ )
  • ชีวิตเหมือนฝัน เล่ม 1 โดย คุณหญิงมณี สิริวรสาร
ขอบคุณเครดิต https://www.baanjomyut.com/library_2/extension-1/chaodarathong/05.html

สนธิสัญญาแวร์ซายส์ หนึ่งในชนวนสงครามโลกครั้งที่2

การเรียกร้องให้เยอรมันชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามทั้งหมด 
นั้นถือเป็นสร้างความตรึงเครียดและเป็นชนวนการเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง  และคนที่ฉีกสัญญานั้นได้ใจชาวเยอรมันไปเต็มๆ  และเขาคือ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์  ผู้ก่อสงครามโลกครั้งที่สองนั้นเอง

สัญญาแวร์ซายส์
ที่ประชุม ณ ห้องโถงกรุง แวร์ซายส์ ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 1919 เวลา 17.20 นาฬิกา ผู้แทนจากประเทศเยอรมัน ได้ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพ
เกี่ยวกับการทหาร
เยอรมันจะต้องยกเลิกกรมเสนาธิการทหารอย่างเด็ดขาด กองทัพบกจำกัดให้มีกำลังพลเพียง 100000 คน รวมนายทหาร 4000 คน และกำลังเหล่านี้ มีไว้เพียงเพื่อรักษาความสงบในอาณาเขต และรักษาพรมแดนเท่านั้น และเพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยง จึงได้กำหนดไว้อีกด้วยว่า จำนวนข้าราชการ เช่น พนักงาน ภาษีอากร เจ้าพนักงานกรมป่าไม้ และเจ้าหน้าที่รักษาการชายทะเล จะต้องมีไม่เกินจำนวนที่ได้แจ้งไว้ในปี ค.ศ. 1913 กำลังตำรวจและเทศบาล จะเพิ่มขึ้นได้ตามส่วนของพลเมืองที่เพิ่มขึ้น นับตั้งแต่ ค.ศ. 1913 เป็นต้นไป
โรงงานสร้างอาวุธกระสุนดินดำและยุทโธปกรณ์ จะต้องอยู่ในวงจำกัด เท่าที่สัมพันธมิตรจะยินยอม และเยอรมันจะสั่งอาวุธและยุทโธปกรณ์เข้าประเทศ หรือส่งออกไม่ได้เป็นอันขาด ห้ามเยอรมันนำเข้าก๊าซพิษ รถเกาะ รถถัง และให้เลิกใช้วิธีเกณฑ์ทหาร ให้ใช้ได้เฉพาะทหารอาสาเท่านั้น พลทหารให้อยู่ในหน้าที่ 12 ปี เพื่อป้องกันการ หมุนเวียนกำลังทหาร
องค์การด้านการศึกษาต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัย สมาคมทหารกองหนุน สมาคมท่องเที่ยวล่าสัตว์ และไม่ว่าจะเป็นสมาคมใด ไม่ว่าสมาชิกจะมีอายุเท่าใด จะต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับการทหารโดยเด็ดขาด
กำลังทหารเรือ เยอรมันถูกจำกัดให้มีเรือรบได้เพียง 6 ลำ ครุยเซอร์ 6 ลำ เรือพิฆาต 1 ลำ เรือตอร์ปิโด 12 ลำ ส่วนเรือดำน้ำห้ามมีเด็ดขาด เรือรบจะสร้างขึ้นใหม่ได้ก็เพื่อชดเชยของเก่าที่ชำรุดเท่านั้น
กำลังพลทหารเรือมีได้ ไม่เกิน 15000 คน นายทหารไม่เกิน 1500 คน ระยะเวลา ที่จะให้อยู่ในประจำการให้เท่ากับทหารบก เรือค้าขายจะได้รับการฝึกหัดอย่างทหารเรือมิได้โดยเด็ดขาด และถ้าหากว่ามีเกินจำนวนที่กำหนดไว้ จะต้องโอนให้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตรไป
กำลังทางอากาศนั้น ห้ามมิให้มีโดยเด็ดขาด และที่มีอยู่เดิมนั้นให้ขึ้นกับฝ่ายพันธมิตรโดยตรง
ทำลายป้อมปราการและท่าเรือ ที่เกาะดูน และเกาะเฮลิโกแลนด์ ให้หมดสิ้น
เกี่ยวกับดินแดน
เยอรมันต้องคืนดินแดน อัสซาสและลอร์เรนท์ให้แก่ฝรั่งเศส เบลเยี่ยมให้ได้รับบริเวณที่เกี่ยวแก่จุด ยุทธศาสตร์สำคัญ ได้แก่ ยูเปน มาลเมดี และมอเรสเนต์ ซึ่งมีพลเมืองทั้งสิ้น 70000 คน ทั้งนี้โดยวิธีขอประชามติในการขอประชามติอีกครั้งหนึ่งนั้น เดนมาร์กได้รับมณฑลเซลสวิกส่วนเหนือ ซึ่งปรัสเซียได้ไปตั้งแต่ ค.ศ. 1864 โดยส่วยใต้นั้น คงโหวตไปอยู่กับเยอรมันตามเดิม เชคโกสโลวเกีย ได้ดินแดนเล็กๆ ในมณฑลซิเลเซียเหนือ สำหรับโปรแลนด์ให้เป็นรัฐเอกราช โดยเยอรมันยอมคืนส่วนใหม่ของโบเสนกับปรัสเซียตะวันตก ให้แก่โปแลนด์ มณทั้งสองนี้ มีอาณาเขตประมาณ 260 ไมล์ กว้าง 70 ไมล์ พลเมือง 2 ใน 3 เป็นชาวโปแลนด์ ส่วนปรัสเซียตะวันออก ยังคงสมัครอยู่กับเยอรมัน เมืองแดนซิก ซึ่งเป็นพลเมืองชาวเยอรมันเกือบทั้งหมด ยกขึ้นเป็นเมืองอิสระภายใต้การควบคุมของ สันนิบาตชาติ แต่ยอมให้โปแลนด์มีส่วนในการดำเนินการทางการเมือง และเศรษฐกิจ สัมพันธมิตรเข้าปกครองเมืองเมเมล ที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเยอรมัน และบริเวณปากน้ำ ไนแมนด้วย และต่อมาได้โอนให้ ลิธัวเนีย เยอรมันยอมยกเลิกสิทธิและอำนาจต่างๆ ในอาณานิคมของตนให้แก่สัมพันธมิตรทั้งหมด โดยอาณานิคมเหล่านี้ ภายหลังได้จัดเป็นเมืองในอาณัติของ อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม ญี่ปุ่น ออสเตรีย นิวซีแลนด์ และ สหภาพแอฟริกาใต้
เกี่ยวกับเศรษฐกิจ
เพื่อเป็นการชดใช้ค่าเสียหายของบ่อถ่านหินทางทิศเหนือของฝรั่งเศส และเพื่อชดใช้ค่าเสียหายต่างๆ อันเนื่องมาจากสงคราม
เยอรมันจะต้องยกบ่อถ่านหินในแคว้นซาร์ ให้กับฝรั่งเศสครอบครองอย่างเด็ดขาด และให้มีสิทธิในผล ประโยชน์ด้วย เป็นเวลา 15 ปี ผู้ครองแคว้นซาร์ จะต้องภายใต้การครอบงำของคณะกรรมการสัมปาทิกแห่งสันนิ บาตชาติ เมื่อครบกำหนดแล้วให้มีการขอประชามติว่า จะไปอยู่กับฝรั่งเศสหรือจะไปขึ้นกับเยอรมัน
เยอรมันเสียสัมปทานทางการค้า และเขตอิทธิพลในทางเศรษฐกิจ จีน ไทย ลิเบเรีย อียิปต์ มอร็อคโค และในที่อื่นๆ ทุกแห่ง
ให้พันธมิตรเข้าควบคุมแม่น้ำสำคัญๆ ในเยอรมัน เพื่อให้ประเทศที่ไม่มีทางออกทางทะเล ใช้ประโยชน์ ได้โดยเสรี
จะต้องให้เชคโกสโลวเกีย เช่าส่วนหนึ่งของเมืองท่าแฮมเบิร์ก และสเตตติน เป็นเวลา 99 ปี
เปิดคลองคีล ให้เรือรบและเรือสินค้าเดินได้ในยามสงบ

ขอบคุณเครดิต www.baanjomyut.com

วันอังคารที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2560

เหลือเชื่อ F-5 ไทย 2ลำโดน SAM ยิงยังกลับฐานได้


เหลือเชื่อ F-5 ไทย 2ลำโดน SAM ยิงยังกลับฐานได้ 

ลำแรกโดนยิง ในการรบกับกองกำลังต่างชาติ(เวียดนาม) ที่ช่องโอบก F-5E Serial Number 91686 จากฝูงบิน 403 กองบิน 4 ตาคลี บินโดย น.ต.สุรศักดิ์ บุญเปรมปรี (ยศครั้งสุดท้าย พล.อ.ต.) ขึ้นบินปฏิบัติการกิจสนับสนุนทางอากาศ (Close Air Support: CAS) ให้กับกองกำลังฝ่ายไทย ในการนี้ เครื่องบิน F-5E ของเราถูกจรวด SAM-7 ยิงจนเครื่องยนต์ด้านขวาพัง นักบินสามารถนำเครื่องลงจอดฉุกเฉินที่กองบิน 21 อุบลได้อย่างปลอดภัย

ลำที่สองโดนยิง ในการรบที่บ้านร่มเกล้า เครื่องบิน F-5B ของฝูง 231 กองบิน 23 อุดร Serial Number 400778 บินโดย น.ต. ธีระพงษ์ วรรณสำเริง (ยศครั้งสุดท้าย พล.อ.ต.) และ ร.ต. ณฤทธิ์ สุดใจธรรม (ยศครั้งสุดท้าย น.อ.) อีกเครื่องก็ถูกยิงด้วยจรวด SAM เครื่องยนต์ด้านขวาพัง นักบินได้นำเครื่องลงจอดอย่างปลอดภัย

หมายเหตุ: ภาพและข้อมูลทั้งหมดขอขอบคุณพ.อ.อ.รัชต์ รัตนวิจารณ์ กูรูเครื่องบินไทยครับ
เครดิต http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=skyman&month=12-05-2006&group=2&blog=1