วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2559
แฉสายลับจอร์แดนขโมยอาวุธที่ซีไอเอส่งช่วยกบฏซีเรีย
แห่งข่าวในรัฐบาลสหรัฐและจอร์แดนเผยว่า อาวุธบางส่วนที่ซีไอเอต้องการส่งผ่านทางจอร์แดนไปยังกองกำลังฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรีย กลับถูกเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองบางคนของรัฐบาลอัมมานขโมยไปขายในตลาดมืด
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ว่าหนังสือพิมพ์ เดอะ นิวยอร์ก ไทม์ส นำเสนอรายงานเชิงสืบสวนเจาะลึกเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยเป็นการประสานงานร่วมกับสำนักข่าวอัล-จาซีราอ้างข้อมูลจากแห่งข่าวในรัฐบาลสหรัฐและจอร์แดน ว่าอาวุธสงครามบางส่วนที่สำนักข่าวกรองกลาง ( ซีไอเอ ) และรัฐบาลซาอุดีอาระเบียต้องการส่งให้กับกลุ่มกบฏสายกลางในซีเรียนั้น กลับถูก "เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรอง" บางคนของรัฐบาลอัมมาน โจรกรรมไปขายในตลาดมืด
ทั้งนี้ ผลการสืบสวนแกะรอยบ่งชี้ด้วยว่า อาวุธบางส่วนกลับกลายเป็น "เครื่องมือสังหาร" เจ้าหน้าที่ชาวอเมริกันของบริษัทรับเหมา 2 ราย ครูฝึกชาวแอฟริกาใต้ 1 ราย และพลเมืองจอร์แดนอีก 2 ราย ภายในศูนย์ฝึกตำรวจชานกรุงอัมมาน เมื่อเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว ก่อนที่เจ้าหน้าที่สามารถวิสามัญคนร้ายเสียชีวิตในที่เกิดเหตุอย่างไรก็ตาม พฤติกรรมการโจรกรรมอาวุธได้ยุติลงเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หลังรัฐบาลวอชิงตันและริยาดออกมาแสดงความไม่พอใจผ่านสื่อ ขณะที่เจ้าหน้าที่ของทางการจอร์แดนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้สามารถ "ตักตวงผลประโยชน์มหาศาล" และนำเงินทองที่ได้ไปจับจ่ายซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยมากมาย
ด้านซีไอเอ รัฐบาลซาอุดีอาระเบียและรัฐบาลจอร์แดนยังคงสงวนท่าทีต่อรายงานดังกล่าว
คลิปประกอบ : RT
เครดิต http://www.dailynews.co.th/foreign/505257
เครดิตภาพ Reuters
วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2559
เชลยศึกทหารกองทัพฝรั่งเศส ถูกไทยจับได้
ภาพของเชลยศึกทหารกองทัพฝรั
งามนักปืน M1911สร้างจากชิ้นส่วนของอุกกาบาต
ปืน M1911 ที่จากที่ทำจากชิ้นส่วนของอุกกาบาตที่มีอายุมากกว่า 4.6 พันล้านปี ปืนพก M1911 จากนอกโลกนี้ผลิตออกมาสองกระบอก สนนราคาที่กระบอกล่ะ 4.5 ล้าน us ดอลล่า
ขอบคุณเครดิตภาพและข้อมูลจาก
http://acidcow.com/pics/81138-an-american-company-is-selling-guns-that-were-made-from-a-meteorite-17-pics.html
วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2559
จิม โจนส์ ศาสดาลัทธิสุดคลั่งกับฆ่าตัวตายพร้อมกันที่มากที่สุดในโลก 914 ศพ
จิม โจนส์ ผู้ตั้งลัทธิสังคม (Peoples temple)
เหตุการณ์ฆ่าตัวตายหมู่เมื่อปี 1978 ตามบัญชาของศาสดาจิม โจนส์
โดยลัทธินี้มีชื่อว่า "Peoples temple" โดยคำว่า พีเพิลส์ เทมเปิ้ล นั้นแปลได้ว่า วิหารแห่งปวงชน ซึ่งลัทธินี้ถือว่ามนุษย์จะอยู่กันอย่างสงบสุขสันติได้ต้องมีระบอบการปกครองแบบเท่าเทียมกัน โดยที่ความเชื่อในหัวของจิมว่าสังคมอุดมสุขสุดๆนั้นคือสังคมแบบ "ยูโทเปีย (Eutopia)"
จิม โจนส์ รวบรวมเงินบริจาคจากสาวกไปซื้อที่เพื่อสร้างนิคมเป็นของตัวเอง ในทวีปแอฟริกา ในเมือง (Guyana)
เมื่อข่าวนี้ไปถึงหูของรัฐบาลอเมริกัน เจ้าหน้าที่ ฝ่ายปกครองกลับรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล จึงส่งตัวแทนจากสภาคองเกรสไป "เยี่ยม" โจนส์ทาวน์
โดยในการนี้ผู้ที่ถูกเลือกไปนั้นก็คือสมาชิกสภาคองเกรสนามว่า ลีโอ ไรอัน ท่านได้รับการต้อนรับแสนอบอุ่นจากคณะของจิม ซึ่งได้พาไปดูการกินอยู่ของสาวกว่ากินดีอยู่ดีเพียงใด เมื่อท่านได้ เห็นผู้คนดูสุขสมบูรณ์กันดีก็รู้สึกคลายใจหายห่วง
แต่สิ่งที่จิมพาชมนั้นคือการจัดฉากล้วนๆ แรงงานผู้คนในนารวมนั้นทำงานกันแสนจะเหนื่อยหนัก การกินอยู่ก็ถูกจำกัดจำเขี่ย จะได้กินมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับจิม ใครฝ่าฝืนก็จะโดนลงทัณฑ์อย่างแสนจะวิปริต เพราะด้านการเมืองการปกครองของโจนส์ทาวน์นั้น ใช้กฎหมายอยู่ประการเดียวคือ "กฎแห่งข้า" จิมคือรัฐและรัฐคือจิม
กฎนี้หยุมหยิมลงไปถึงกระทั่งให้ถือศีลพรหมจรรย์อย่างเคร่งครัด ห้ามผู้คนแสดงความรักต่อกันแม้จะเป็นสามีภรรยากันก็ตาม เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากจิม
ดังที่มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งถูกลงโทษในข้อหาแอบ รักกันฉันชู้สาว ทั้งที่คนทั้งสองแทบจะไม่เคยรู้จักมักจี่กันเลย เรื่องของเรื่องก็คือหนุ่มน้อยเป็นคนขายอาหารอยู่ในร้าน ส่วนสาวเจ้านั้นก็มาต่อคิวซื้ออาหาร และเมื่อถึงคิวให้ของจ่ายเงินกันเสร็จ เจ้าหนุ่มก็ส่งยิ้มให้แทนคำขอบคุณ ส่วนสาวเจ้าก็กล่าวลาเบาๆ
เท่านั้นแหละเป็นเรื่อง
มีคนเห็นเข้าแล้วคาบไปฟ้องท่านพ่อเมือง ซึ่งโจนส์ก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้ "เชือดไก่" ให้ ลิงสาวกทั้งหลายดู จึงจัดให้มีการประชุมเมืองกันที่ จัตุรัสกลาง หนุ่มสาวทั้งสองคนจึงถูกเรียกขึ้นเวทีเพื่อประจานความผิด โจนส์สั่งให้ทั้งสองเปลื้องผ้าจนเปลือย เปล่าต่อหน้าสาวกหลายร้อย แล้วก็พูดจาถากถางอย่างวิปริตนานาประการจนพอใจ จากนั้นหนุ่มสาวที่น่าสงสารก็ถูกปล่อยกลับไปให้เผชิญความอับอาย และต่อไปก็จะไม่มีใครกล้าพูดคุยกับสองคนนี้อีก
เรื่องเหล่านี้ก็หาได้ไปถึงหูท่านลีโอ ไรอัน ไม่ เมื่อท่านเตรียมการจะกลับ ปรากฏว่ามีสานุศิษย์ของจิมหลายรายแอบมาขอให้ช่วยพาออกจากโจนส์ทาวน์ ซึ่งท่านก็ได้จัดการพาคนที่อยากกลับประเทศไปด้วยถึง 15 ราย แต่จิมพยายามขัดขวางจนถึงที่สุด โดยในวันสุดท้ายที่ท่านจะกลับ สาวกเลือดร้อนนามว่านายดอน สไลน์ ได้ลุกขึ้นมากวัดแกว่งมีดหมายจะทำร้ายท่านลีโอในระยะประชิดจนต้องมีการกันตัวกันออกไป
ขบวนของท่านลีโอเดินทางถึงสนามบินไคตูมาอย่างทุลักทุเลเต็มที แต่เมื่อนั้นก็สายไปเสียแล้ว
จิมต่อโทรศัพท์สายตรงไปถึงสมุนให้เด็ดชีพผู้แทนสหรัฐฯจอมจุ้นท่านนี้เสีย ซึ่งขณะที่ท่านกำลังจะไปขึ้นเครื่องบิน เล็กที่เห็น อยู่ตรงหน้า มือสังหารก็ เหนี่ยวไกอย่างไม่ยั้ง ท่านวุฒิสมาชิกลีโอ ไรอัน ถึงแก่อนิจกรรมทันที ผู้ติดตามอันได้แก่นักข่าวจากเอ็นบีซี และสาวกผู้ทรยศลัทธิต่างเจ็บตายกันอีกมาก
แต่นักบินบนเครื่องนั้นได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดและได้กระจายข่าวเหตุการณ์ผ่านทางวิทยุการบิน โลกจึงได้รับรู้โศกนาฏกรรมที่จิมก่อขึ้น
ฝ่ายจิมหลังจากรับทราบว่าภารกิจเลือดได้สัมฤทธิผลแล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่าอีกไม่นานทางการก็จะต้องส่งกองกำลังมาปราบทุกอย่างให้สิ้นซาก เขาจึงตัดสินใจที่จะ "หนี" จากโลกนี้!
เขาได้เตรียมการอย่างใหญ่โตที่สุด ซึ่งการนี้ได้เคยถูก "ซ้อมใหญ่" เอาไว้แล้วหลายต่อหลายครั้ง นั่นคือการจัดให้สาวกทุกคนในนครโจนส์ทาวน์นี้ฆ่าตัวตายพร้อมกันทั้งหมด!
ในคืนมรณะนั้นโจนส์ได้ประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงให้สาวกทุกคน "เตรียม ตัว" ไว้สำหรับหายนะที่จะเกิดขึ้น เพราะมีผู้ที่ได้รับคำสั่งให้มาสังหารโหดชาววิหาร ประชาชนนี้เสีย โดยการ "กระโดดร่มลง มากลางวงแล้วกราดยิงพวกเราทุกคน" นอกจากนั้นยัง "ฆ่าไม่เลือกหน้า ไม่ว่าผู้บริสุทธิ์หรือใครก็ตาม" "พวกนี้จะฆ่า ทารกและเด็กของพวกเราด้วย แล้วก็จับพวกผู้ใหญ่มาทรมานอย่างทารุณก่อนสังหารให้ตาย"
ข้อความสำคัญเหล่านี้ถูกบันทึกไว้ในเทปเสียงที่ค้นพบหลังจากเหตุการณ์ วิปโยค โดยทูตมรณะที่โจนส์กับคณาสาวกใช้ "ฆ่าตัวตายยกหมู่" คือน้ำองุ่นเจือ "ไซยาไนด์ (Cyanide)" ซึ่งเป็นสารพิษชั้นแรงที่ให้ผลเร็วเฉียบพลัน
แต่อาการจากการดื่มน้ำยาพิษเข้า ไปนั้นช่างทรมานเหลือแสน จนบางคนต้องร้องขอให้เพื่อนช่วยยิงให้พ้นทุกข์ไป
ความทุกข์ทรมานน่าสังเวชเกิดขึ้นทั่วไปในโจนส์ทาวน์ ข้างฝ่ายสาธุคุณโจนส์ ก็ยังยืนประกาศปาวๆ ถึงความตายที่แสนบริสุทธิ์และไม่ทรมาน โดยชักชวนให้พ่อแม่กรอกยาพิษลูก สามีสังหารภรรยา หรือถ้าใครยังรีรอก็มีหน่วย "สงเคราะห์" จับยาพิษกรอกปากให้พ้นทุกข์ ทรมานไป โดยในเทปลับได้ยินสุ้มเสียงโจนส์ประกาศผ่านโทรโข่งดังนี้
"ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัวเลย มันเพียงแต่เปลี่ยนเราไปสู่สถานะที่สูงส่งขึ้นเท่านั้น"
"เราไม่ได้ฆ่าตัวตาย แต่สิ่งที่เราทำคือการ ประท้วงความไร้มนุษยธรรมแห่งโลกนี้"
ส่วนสำหรับภาพสุดท้ายของ "โจนส์นคร" นั้นคือ ซากศพทั้งชายหญิงกองก่าย มีทั้งหนุ่มสาวและคนแก่ กลุ่มที่น่าสะเทือนใจจะเป็นกลุ่มพ่อแม่ลูกที่กุมมือกันตาย บ้างก็เป็นสามี ภรรยาสิ้นใจในท่าตระกองกอดกันไว้
ส่วนร่างโจนส์นั้นมีรูกระสุนปืนที่ศีรษะนอนพังพาบอยู่ใกล้ๆ "อาสนะ" ที่เคยใช้เทศน์เป็นประจำ คนที่ตายไปทั้งหมดนี้รวมทั้งจิมด้วยแล้วมีถึง 914 ศพ การตายหมู่ครั้งนี้ถูกจดบันทึกไว้เป็นสถิติวิปโยคของโลกที่มีสาวกศาสนาตายหมู่รวมกันมากที่สุด
ขอคุณเครดิต http://www.thairath.co.th/content/117483
เหตุการณ์ฆ่าตัวตายหมู่เมื่อปี 1978 ตามบัญชาของศาสดาจิม โจนส์
โดยลัทธินี้มีชื่อว่า "Peoples temple" โดยคำว่า พีเพิลส์ เทมเปิ้ล นั้นแปลได้ว่า วิหารแห่งปวงชน ซึ่งลัทธินี้ถือว่ามนุษย์จะอยู่กันอย่างสงบสุขสันติได้ต้องมีระบอบการปกครองแบบเท่าเทียมกัน โดยที่ความเชื่อในหัวของจิมว่าสังคมอุดมสุขสุดๆนั้นคือสังคมแบบ "ยูโทเปีย (Eutopia)"
จิม โจนส์ รวบรวมเงินบริจาคจากสาวกไปซื้อที่เพื่อสร้างนิคมเป็นของตัวเอง ในทวีปแอฟริกา ในเมือง (Guyana)
เมื่อข่าวนี้ไปถึงหูของรัฐบาลอเมริกัน เจ้าหน้าที่ ฝ่ายปกครองกลับรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล จึงส่งตัวแทนจากสภาคองเกรสไป "เยี่ยม" โจนส์ทาวน์
โดยในการนี้ผู้ที่ถูกเลือกไปนั้นก็คือสมาชิกสภาคองเกรสนามว่า ลีโอ ไรอัน ท่านได้รับการต้อนรับแสนอบอุ่นจากคณะของจิม ซึ่งได้พาไปดูการกินอยู่ของสาวกว่ากินดีอยู่ดีเพียงใด เมื่อท่านได้ เห็นผู้คนดูสุขสมบูรณ์กันดีก็รู้สึกคลายใจหายห่วง
แต่สิ่งที่จิมพาชมนั้นคือการจัดฉากล้วนๆ แรงงานผู้คนในนารวมนั้นทำงานกันแสนจะเหนื่อยหนัก การกินอยู่ก็ถูกจำกัดจำเขี่ย จะได้กินมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับจิม ใครฝ่าฝืนก็จะโดนลงทัณฑ์อย่างแสนจะวิปริต เพราะด้านการเมืองการปกครองของโจนส์ทาวน์นั้น ใช้กฎหมายอยู่ประการเดียวคือ "กฎแห่งข้า" จิมคือรัฐและรัฐคือจิม
กฎนี้หยุมหยิมลงไปถึงกระทั่งให้ถือศีลพรหมจรรย์อย่างเคร่งครัด ห้ามผู้คนแสดงความรักต่อกันแม้จะเป็นสามีภรรยากันก็ตาม เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากจิม
ดังที่มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งถูกลงโทษในข้อหาแอบ รักกันฉันชู้สาว ทั้งที่คนทั้งสองแทบจะไม่เคยรู้จักมักจี่กันเลย เรื่องของเรื่องก็คือหนุ่มน้อยเป็นคนขายอาหารอยู่ในร้าน ส่วนสาวเจ้านั้นก็มาต่อคิวซื้ออาหาร และเมื่อถึงคิวให้ของจ่ายเงินกันเสร็จ เจ้าหนุ่มก็ส่งยิ้มให้แทนคำขอบคุณ ส่วนสาวเจ้าก็กล่าวลาเบาๆ
เท่านั้นแหละเป็นเรื่อง
มีคนเห็นเข้าแล้วคาบไปฟ้องท่านพ่อเมือง ซึ่งโจนส์ก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้ "เชือดไก่" ให้ ลิงสาวกทั้งหลายดู จึงจัดให้มีการประชุมเมืองกันที่ จัตุรัสกลาง หนุ่มสาวทั้งสองคนจึงถูกเรียกขึ้นเวทีเพื่อประจานความผิด โจนส์สั่งให้ทั้งสองเปลื้องผ้าจนเปลือย เปล่าต่อหน้าสาวกหลายร้อย แล้วก็พูดจาถากถางอย่างวิปริตนานาประการจนพอใจ จากนั้นหนุ่มสาวที่น่าสงสารก็ถูกปล่อยกลับไปให้เผชิญความอับอาย และต่อไปก็จะไม่มีใครกล้าพูดคุยกับสองคนนี้อีก
เรื่องเหล่านี้ก็หาได้ไปถึงหูท่านลีโอ ไรอัน ไม่ เมื่อท่านเตรียมการจะกลับ ปรากฏว่ามีสานุศิษย์ของจิมหลายรายแอบมาขอให้ช่วยพาออกจากโจนส์ทาวน์ ซึ่งท่านก็ได้จัดการพาคนที่อยากกลับประเทศไปด้วยถึง 15 ราย แต่จิมพยายามขัดขวางจนถึงที่สุด โดยในวันสุดท้ายที่ท่านจะกลับ สาวกเลือดร้อนนามว่านายดอน สไลน์ ได้ลุกขึ้นมากวัดแกว่งมีดหมายจะทำร้ายท่านลีโอในระยะประชิดจนต้องมีการกันตัวกันออกไป
ขบวนของท่านลีโอเดินทางถึงสนามบินไคตูมาอย่างทุลักทุเลเต็มที แต่เมื่อนั้นก็สายไปเสียแล้ว
จิมต่อโทรศัพท์สายตรงไปถึงสมุนให้เด็ดชีพผู้แทนสหรัฐฯจอมจุ้นท่านนี้เสีย ซึ่งขณะที่ท่านกำลังจะไปขึ้นเครื่องบิน เล็กที่เห็น อยู่ตรงหน้า มือสังหารก็ เหนี่ยวไกอย่างไม่ยั้ง ท่านวุฒิสมาชิกลีโอ ไรอัน ถึงแก่อนิจกรรมทันที ผู้ติดตามอันได้แก่นักข่าวจากเอ็นบีซี และสาวกผู้ทรยศลัทธิต่างเจ็บตายกันอีกมาก
แต่นักบินบนเครื่องนั้นได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดและได้กระจายข่าวเหตุการณ์ผ่านทางวิทยุการบิน โลกจึงได้รับรู้โศกนาฏกรรมที่จิมก่อขึ้น
ฝ่ายจิมหลังจากรับทราบว่าภารกิจเลือดได้สัมฤทธิผลแล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่าอีกไม่นานทางการก็จะต้องส่งกองกำลังมาปราบทุกอย่างให้สิ้นซาก เขาจึงตัดสินใจที่จะ "หนี" จากโลกนี้!
เขาได้เตรียมการอย่างใหญ่โตที่สุด ซึ่งการนี้ได้เคยถูก "ซ้อมใหญ่" เอาไว้แล้วหลายต่อหลายครั้ง นั่นคือการจัดให้สาวกทุกคนในนครโจนส์ทาวน์นี้ฆ่าตัวตายพร้อมกันทั้งหมด!
ในคืนมรณะนั้นโจนส์ได้ประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงให้สาวกทุกคน "เตรียม ตัว" ไว้สำหรับหายนะที่จะเกิดขึ้น เพราะมีผู้ที่ได้รับคำสั่งให้มาสังหารโหดชาววิหาร ประชาชนนี้เสีย โดยการ "กระโดดร่มลง มากลางวงแล้วกราดยิงพวกเราทุกคน" นอกจากนั้นยัง "ฆ่าไม่เลือกหน้า ไม่ว่าผู้บริสุทธิ์หรือใครก็ตาม" "พวกนี้จะฆ่า ทารกและเด็กของพวกเราด้วย แล้วก็จับพวกผู้ใหญ่มาทรมานอย่างทารุณก่อนสังหารให้ตาย"
ข้อความสำคัญเหล่านี้ถูกบันทึกไว้ในเทปเสียงที่ค้นพบหลังจากเหตุการณ์ วิปโยค โดยทูตมรณะที่โจนส์กับคณาสาวกใช้ "ฆ่าตัวตายยกหมู่" คือน้ำองุ่นเจือ "ไซยาไนด์ (Cyanide)" ซึ่งเป็นสารพิษชั้นแรงที่ให้ผลเร็วเฉียบพลัน
แต่อาการจากการดื่มน้ำยาพิษเข้า ไปนั้นช่างทรมานเหลือแสน จนบางคนต้องร้องขอให้เพื่อนช่วยยิงให้พ้นทุกข์ไป
ความทุกข์ทรมานน่าสังเวชเกิดขึ้นทั่วไปในโจนส์ทาวน์ ข้างฝ่ายสาธุคุณโจนส์ ก็ยังยืนประกาศปาวๆ ถึงความตายที่แสนบริสุทธิ์และไม่ทรมาน โดยชักชวนให้พ่อแม่กรอกยาพิษลูก สามีสังหารภรรยา หรือถ้าใครยังรีรอก็มีหน่วย "สงเคราะห์" จับยาพิษกรอกปากให้พ้นทุกข์ ทรมานไป โดยในเทปลับได้ยินสุ้มเสียงโจนส์ประกาศผ่านโทรโข่งดังนี้
"ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัวเลย มันเพียงแต่เปลี่ยนเราไปสู่สถานะที่สูงส่งขึ้นเท่านั้น"
"เราไม่ได้ฆ่าตัวตาย แต่สิ่งที่เราทำคือการ ประท้วงความไร้มนุษยธรรมแห่งโลกนี้"
ส่วนสำหรับภาพสุดท้ายของ "โจนส์นคร" นั้นคือ ซากศพทั้งชายหญิงกองก่าย มีทั้งหนุ่มสาวและคนแก่ กลุ่มที่น่าสะเทือนใจจะเป็นกลุ่มพ่อแม่ลูกที่กุมมือกันตาย บ้างก็เป็นสามี ภรรยาสิ้นใจในท่าตระกองกอดกันไว้
ส่วนร่างโจนส์นั้นมีรูกระสุนปืนที่ศีรษะนอนพังพาบอยู่ใกล้ๆ "อาสนะ" ที่เคยใช้เทศน์เป็นประจำ คนที่ตายไปทั้งหมดนี้รวมทั้งจิมด้วยแล้วมีถึง 914 ศพ การตายหมู่ครั้งนี้ถูกจดบันทึกไว้เป็นสถิติวิปโยคของโลกที่มีสาวกศาสนาตายหมู่รวมกันมากที่สุด
ขอคุณเครดิต http://www.thairath.co.th/content/117483
เวียดนามและลาว ร่วมกันค้นหาศพทหารเวียดนามกลับสู่มาตุภูมิ และคลิปสารคดีหาดูยากของทางประเทศลาวในระหว่างสงคราม
| |
ปีนี้มีทหารเวียดนามอย่างน้อย 41 คน ได้กลับดินแดนบ้านเกิด หลังจากสงครามในประเทศนี้ยุติลงไป 40 ปี แต่ก็ยังมีอีกจำนวนนับพันๆ คนที่ยังไม่มีโอกาสได้กลับดินแห่งมาตุภูมิ และ การค้นหายังจะดำเนินต่อไป ในฤดูแล้งปี 2559-2560 นี้ ขณะเดียวกันการค้นหาศพทหารเวียดนาม ได้คืบเข้ามาในดินแดนไทย ในกรอบความร่วมมือระหว่างกระทรวงกลาโหมสองประเทศ
ล่าสุดทางการนครเวียงจันทน์ กับทางการ จ.ห่าตี๋ง ของเวียดนาม ได้ร่วมกันทำพิธีทางศาสนาและ ส่งอัฐิของ "ทหารอาสา" กับ "ผู้เชี่ยวชาญ" ชาวเวียดนามจำนวน 3 ชุดกลับประเทศ ทั้งหมดเสียชวิตจากการสู้รบในดินแดนลาวเมื่อครั้งสงคราม เจ้าหน้าที่ของสองฝ่าย ขุดขึ้นมาจากแหล่งฝังศพ ในเขตรอบนอกนครเวียงจันทน์ ในกรอบความร่วมมือระหว่างสองประเทศ
ทั้ง 3 ชุดเป็นหนึ่งในบรรดาอัฐิของทหารเวียดนามกว่า 20,000 คน ที่ ได้กลับจากลาว ในช่วงกว่า 20 ปีมานี้
สงครามในอินโดจีนยุติลงไปเมื่อปี 2518 แต่การปฏิบัติหน้าที่ของทหารเวียดนามในดินแดนลาว ยังคงดำเนินต่อมาอีกไม่ต่ำกว่า 10 ปี ปัจจุบันเชื่อว่ายังมี "ทหารอาสา" และ "ผู้เชี่ยวชาญ" ชาวเวียดนาม ยังไม่ได้จากลาวอีกนับพันๆ คน
พิธีจัดขึ้นเมื่อวันที่ 3 พ.ค.2559 นายสีหุน สิดทิลือไซ รองเจ้าครองนครเวียงจันทน์ กับ นายดั่งก๊วกวีง (Dang Quoc Vinh) รองประธานคณะกรรมการประชาชน จ.ห่าตี๋ง (Ha Tinh) ในภาคกลางตอนบน ที่มีพรมแดนติดกับลาว มีคณะเจ้าหน้าที่ และ นักวิชาการ ทั้งสองฝ่ายเข้าร่วม เป็นจำนวนมาก หนังสือพิมพ์ "กองทัพประชาชน" ของกระทรวงป้องกันประเทศลาว รายงานในสัปดาห์นี้่
การปฏิบัติงานในช่วงหน้าแล้งปี 2558-2559 ที่ผ่านมา สองฝ่ายได้ลงเก็บข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งฝังศพทหารเวียดนาม ในพื้นที่จริง ในท้องที่ 59 หมู่บ้าน ใน 7 เมือง (อำเภอ) รวบรวมข้อมูลจากสถานที่จริงได้จำนวน 35 จุด และ ลงขุดค้นจริงในเขตเมืองไซทานีจำนวน 5 จุด และ พบอัฐิจำนวน 3 ชุด
สองฝ่ายได้จัดพิธีวางพวงมาลาสักการะดวงวิญญาณผู้เสียชีวิต โดยมี 17 คณะเข้าร่วมในพิธี "ที่ดำเนินไปภายใต้บรรยากาศอันเคร่งขรึม และ อาลัยอาวรณ์อย่างสุดซึ้ง" และ ในเช้าวันที่ 4 พ.ค. ก็ได้จัดพิธีส่งอัฐิทหารกับผู้เชี่ยวชาญเวียดนามกลับประเทศ อย่างสมเกียรติ มีเจ้าหน้าที่ พนักงาน นักรบและขบวนของน้องน้อยเยาวชน เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง หนังสือพิมพ์ซึ่งเป็นปากเสียงของกองทัพประชาชนกล่าว
ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกันนี้ เมื่อวันที่ 11 เม.ย. ทางการแขวงอุดมไซ กับกองบัญชาการทหารเขต 2 เวียดนาม ได้จัดพิธีส่งมอบอัฐิทหารอาสาสมัครกับผู้เชี่ยวชาญเวียดนามคล้ายกันนี้รวม 38 ชุด และส่งกลับมาตุภูมิอย่างสมเกียรติ
อัฐิทั้ง 38 ชุด ได้จากการค้นหาในช่วงฤดูแล้ง 2558-2559 และ ทั้งหมดเป็นทหารกับผู้เชี่ยวชาญเวียดนาม ที่เสียชีวิตจากการสู้รบ ในสงครามเพื่อเอกราช ในพื้นที่ 6 แขวงภาคเหนือของลาว
ตั้งแต่ปี 2537 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน รวม 22 ปี คณะปฏิบัติงานร่วมลาว-เวียดนาม ขุดค้นหาอัฐิในบรรดาแขวงภาคเหนือ ได้ทั้งหมด 1,604 ชุด ในนั้นสามารถระบุชื่อผู้เสียชีวิตได้เพียง 103 กรณี อัฐิที่ขุดค้นได้ทั้ง 38 ชุดล่าสุด สามารถระบุชื่อ ที่อยู่และถิ่นกำเนิดได้จำนวน 11 ชุด ทั้งหมดได้ส่งกลับบ้านเกิด เพื่อให้บิดามารดา ญาติพี่น้อง ดำเนินการตามประเพณีต่อไป
ทั้งหมดเป็นผลพวงจากสงครามในดินแดนลาว และ ทั่วอนุภูมิภาค ที่มีสงครามยืดเยื้อเป็นเวลานานหลายสิบปี ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20
| |
และในที่สุดฝ่ายเขมรแดง ซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์สายจีน ก็สามารถยึดอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จในกรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 17 เม.ย.2518 ต่อมาวันที่ 30 เม.ย. ฝ่ายคอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือและเวียดกงในภาคใต้ ซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์สายโซเวียต ก็เข้ายึดกรุงไซ่ง่อนได้สำเร็จ แต่สำหรับคอมมิวนิสต์ปะเทดลาว ยังต้องทำสงครามยึดอำนาจต่อมา จนถึงต้นเดือน ธ.ค. ปีเดียวกัน
ทหารเวียดนามนับหมื่นๆ คนถูกส่งเข้าไปสู้รบในดินแดนลาว มาตั้งแต่ครั้งสงครามเพื่อเอกราชจากฝรั่งเศส อีกหลายหมื่นคน ถูกส่งเข้าไปในช่วงสงครามต่อต้านสหรัฐ และ สงครามปลดปล่อยลาวจากรัฐบาลที่มีสหรัฐหนุนหลัง
เชื่อกันว่าทหารเวียดนามเสียชีวิตในเขตนครเวียงจันทน์มากที่สุด ในช่วงปลายสงคราม ก่อนที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ปะเทดลาว จะสามารถเข้ายึดอำนาจได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.2518 และ ประกาศการก่อตั้งเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มาจนทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม หลัง "การปลดปล่อย" ลาว ทหารเวียดนามอีกหลายหมื่นคน ยังคงประจำอยู่ในประเทศนี้ต่อมาอีก จนถึงปี 2527-28 ทั้งนี้เพื่อช่วยป้องกัน สปป.ลาวที่ยังอ่อนด้อย จากรุกรานของ "กลุ่มปฏิกริยาจีน" ซึ่งหมายถึงจีนแผ่นดินใหญ่ คอมมิวนิสต์ต่างอุดมการณ์ และ "กลุ่มปฏิกิริยาขวาจัด" ในวงการกุมอำนาจไทย
นอกจากนั้น ทหารเวียดนามยังช่วยลาว ปราบปรามกองโจรติดอาวุธชาวเผ่าม้งของนายพลวังปาว ที่ยังหลงเหลืออยู่ ในดินแดนที่เป็นแขวงเชียงขวาง เวียงจันทน์ กับ แขวงไซสมบูนในปัจจุบัน
รายงานของสื่อทางการเมื่อหลายปีที่แล้วบ่งชี้ว่า ถึงแม้ "สงครามปลดปล่อยลาว" จะสิ้นสุดมาเป็นเวลาหลายปี การสู้รบกับกองโจรชาวม้งในเขตภูเบี้ย ยังคงดำเนินต่อมา อย่างน้อยจนถึงปี 2525
ไม่เพียงแต่ในดินแดนลาวเท่านั้น ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา เวียดนามยังต้องค้นหาศพทหารที่เสียชวิตในดินแดนกัมพูชาอีกด้วย
ตามข้อมูลของกองทัพประชาชนเวียดนาม ในช่วง 10 ปีของการสู้รบในกัมพูชา (2522-2532) มีทหารเวียดนามเสียชีวิตในดินแดนกัมพูชากว่า 50,000 คน ในนั้นกว่า 30,000 คนล้มตายด้วยมาลาเรียและโรคระบาดอื่นๆ อีกกว่า 20,000 คน เสียชีวิตจากการสู้รบ
ในสัปดาห์ต้นเดือน มี.ค.2559 พล.ท.เหวียนแถ่งกุง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมเวียดนาม ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการแห่งชาติ ในการค้นหาศพทหารเวียดนาม ในดินแดนประเทศเพื่อนบ้าน เดินทางเยือนไทย และเข้าเยี่ยมคำนับหารือกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม
สองฝ่ายได้ตกลงร่วมมือค้นหาศพทหารเวียดนามที่เสียชีวิตตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในช่วงสงครามกลางเมือง และ ค้นหาศพทหารไทย ที่เสียชีวิตในเวียดนาม ในช่วงปีแห่งสงครามเวียดนาม
เครดิตข่าวจาก http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9590000048143
คลิปสารคดีของทางประเทศลาวในระหว่างสงคราม
tha nava tha nava